สะพายสวย

สะพายสวย

 สำหรับนักท่องเที่ยวสายเซลฟี้  เตรียมกล้องเตรียมเมมโมรี่ หาเสื้อผ้าสวยสวย ทรงผมเก๋เก๋ มารอกันเลยนะคะ เพราะกำลังพาคุณไปชมกับ

สุดยอดสะพานที่ทั้งสวยและมีความเก๋ เหมาะแก่การถ่ายรูปเป็นอย่างมาก มีที่ไหนบ้างมาดูกันค่ะ

  • เริ่มต้นด้วยเมืองสุดสโลว์ไลด์ นั่นก็คือ อำเภอปราย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่นี่มีสะพานไม้ที่ทอดตัวไปบนทุ่งนาสีเขียวขจี ซึ่งชาวบ้านเรียกสะพานแห่งนี้ว่าสะพานบุญโขกู้โส่ ซึ่งมีพื้นที่อยู่ในหมู่บ้านแพนโปะ อำเภอปราย จังหวัดแม่ฮ่องสอน  ความหมายของคำว่า โขกู้โส่ คือสะพานบุญ ซึ่งคำว่าโขกู้โส่ นั้นเป็นภาษามาจากไทยใหญ่ เพราะสะพานไม้แห่งนี้เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านในการสร้างสะพานไม้แห่งนี้ออกมา จุดประสงค์ก็เพื่อให้พระสงฆ์ได้ออกมาบิณฑบาตรและชาวบ้านยังสามารถใช้สะพานไม้แห่งนี้ไปทำบุญที่วัดได้ด้วยค่ะ
  • สถานที่ท่องเที่ยวที่สองเรายังคงอยู่กันที่อำเภอปายกันอยู่นะคะ เราจะไปเดินเล่นสวยสวยกันที่สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย สะพานที่หากใครได้มาที่ปายแล้วไม่ได้มาเดินที่สะพานแห่งนี้ จะถือว่ายังมาไม่ถึงเมืองปายกันค่ะ ซึ่งสะพานแห่งนี้มีประวัติว่าแต่เดิมอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยตอนที่อยู่เชียงใหม่ใช้ชื่อ สะพานนวรัตน์ โดยตอนนั้นสะพานนวรัตน์ มีการถูกรื้อเก็บเอาไว้ไม่ได้ใช้งาน พอที่ปายมีเหตุการณ์น้ำท่วมและที่สะพานปายได้พังลงไป ก็เลยมีการทำเรื่องของสะพานนวรัตน์ให้มาอยู่ที่ปายค่ะ สะพานที่ทั้งสวย คลาสสิกและมีประวัติสองจังหวัดแบบนี้ห้ามพลาดที่เดียวค่ะ
  • ออกจากปายเราจะไปเที่ยวกันต่อที่เชียงใหม่ เพื่อไปเดินเล่นที่ Canopy Walk ทางเดินเหนือเรือนยอดไม้พฤกษาศาสตร์ของสมเด็จพระนางเจ้าศิริกิจ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จากบนสะพานเราจะสามารถมองเห็นวิวที่สวยงามได้แบบ 360 องศา สะพานแห่งนี้มีความสูงอยู่เหนือพื้นดิน 20 เมตรและมีความยาวถึง 400 เมตรการออกแบบสะพานนั้นคำนึงถึงสภาพมากที่สุด โดยโครงสร้างทำมาจากเหล็กกล้า แข็งแรง บางช่วงของสะพานเป็นพื้นที่ทำมาจากกระจกใส เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มองเห็นธรรมชาติด้านล่าง  สร้างความตื่นเต้นแปลกใหม่ให้กับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างมากเลยล่ะค่ะ

       และนี่ก็คือ สุดยอดของสะพานที่สวยที่สุด ของจังหวัดในเขตภาคเหนือ ที่หากใครที่ได้เดินทางมาท่องเที่ยวที่ภาคเหนือแล้วไม่ควรพลาด เป็นสถานที่ถ่ายรูปและเช็คอิน ที่สวยงามมากมาก  เหมาะกับมาพักผ่อนแบบสบายสบาย เพราะจังหวัดของภาคเหนือ ที่นี่อากาศจะเย็นและสดชื่น การได้มาเดินชิลชิล เล่นบนสะพานเหล่านี้ จะทำให้เรารู้สึกสบายใจหายเครียดได้ค่ะ

ประวัติศาสตร์ที่ได้มีการค้นพบปราสาท

ประวัติศาสตร์ที่ได้มีการค้นพบปราสาทตาเมือนมีจำนวน3ที่ด้วยกัน

ปราสาทบ้านไผ่ เป็นศาสตร์สถานชุมชน

ได้สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่16ถึง17เป็นปราสาทอิฐขนาดที่เท่ากันจำนวน3หลังเช่นกันและได้ตั้งเรียงเป็นแนวเดียวกันอยู่บนฐานศิลาแลงอีกทั้งยังมีคูน้ำล้อมรอบอยู่ด้านนอกแต่ในสำหรับปัจจุบันปราสาทบริวานที่อยู่ทางด้านทิศใต้นั้นก็ได้พังทายลงไปจนเกือบหมดและเหลือให้เห็นแค่เพียงปราสาทประทานและปราสาทบริวานที่อยู่ทางทิศเหนือเพียงแค่2หลัง

จากการขุดแต่งก็สรุปได้ว่าปราสาทบ้านไผ่เป็นศาสตร์สถานฮินดูศิลปะขอมแบบบาปวน ซึ่งก็ได้พบทับหลังจากจากปราสาททั้ง3หลังนี้แต่สำหรับในปัจจุบันได้ถูกนำเอาไปเก็บรักษาเอาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพิมาย

บริเวณไกล้ชายแดนไทยกัมพูชาใน เขตตําบลตาเมียง อำเภอ พนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ได้มีปราสาทขอมอยู่3แห่งที่ได้ตั้งอยู่ไกล้กันคือปราสาทตาเมีอนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และ ปราสาทตาเมือน ซึ่งก็ได้ถูกเรียกรวมๆกันว่ากลุ่มปราสาทตาเมือน ปราสาทกลุ่มในหินปราสาทตาเมือนถึงแม้ว่าจะเป็นปราสาทศาสตร์สถานโบราณในวัฒนธรรมขอมที่ได้สร้างจากศิลาเหมือนกัน

แต่ปราสาททั้งสามแต่ปราสาททั้ง3ก้ได้มีสถานนะที่แตกต่างกันออกไป ขอม คือวัฒนธรรมที่เคยมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางในส่วนของภูมิภาคต่อเนื่องมานานหลายศตวรรษซึ่งก็ยังได้มีการเถียงกันถึงที่มาถึงตัวตนของขอมนักโบราณคดีส่วนหนึ่งเชื่อว่าวัฒนธรรมขอมได้เริ่มต้นตั้งแต่ศตวรรษที่11หรือที่เรียกว่าสมัยก่อนเมืองพระนครแต่ผู้รู้บางคนได้บอกว่าวัฒนธรรมขอมในยุคแรกนั้น

มันอาจจะย้อนหลังไปไกลกว่านั้นมากคือเริ่มตั้งแต่ราวศตวรรษที่6ก่อนหน้าอาณาจักรเจนละ โดยมันหน้าจะมีศูนย์กลางอยู่ตรงบริเวณแผงจำปาสักของลาวหรือไม่ก็ในจังหวัดอุบลราชนีของประเทศไทยในปัจจุบัน แต่ไม่ว่าวัฒนธรรมขอมจะเริ่มขึ้นเมื่อไดแต่สิ่งหนึ่งที่มันยังคงเป็นสัญลักษณ์หรือหลักฐานแสดงให้ห็นถึงความยิ่งใหญ่ในวัฒนธรรมขอมก็คือสถาปัตยกรรมที่ได้สร้างมาจากอฐิหรือศิลาแลงเพื่อเอาไว้เป็นศาสตร์สถาน

สำหรับประดิษฐานรูปเคารพตามความเชื่อและศรัทธาที่คนเรามักจะเรียกว่าปราสาทขอมหรือว่าปราสาทหิน ในวัฒนธรรมขอมแต่เดิมมานิยมสร้างศาสตร์สถานเอาไว้ตามชุมชนหรือหัวเมืองที่ไกล้ไกลเพื่อใช้เป็นสถานที่เพื่เป็นการประกอบพิธีกรรมทางศาสตร์สนาขอมและของผู้คนในท้องถิ่นจนมาถึงพระเจ้าวรมันที่7

ได้มีการสร้างโครงข่ายคมนาคมเชื่อมต่อเมืองพระนครออกสู่หัวเมืองที่ห่างไกลให้ประชาชนและผู้แสวงบุญได้เดินทางถึงกันได้อย่างสะดวกโดยมีการสร้างธรรมศาลาเอาไว้เป็นอย่างมากถึงประมา121แห่งและอโรคยาศาลาเอาไว้อีก102แห่งซึ่งทุกแห่งจะมีศิลาเอาไว้ทุกแห่งเพื่อเป็นศาสตร์สถานกลาง

เทคนิคการแรเงามีดังนี้

การแรเงาน้ำหนักเป็นการวาดภาพภาพเสมือนจริงควรจะเริ่มฝึกฝนการแรเงาภาพเพื่อฝึกหัดการเขียนภาพแสดงออกถึงความสามารถความประณีตและวิจิตรบรรจงสำหรับเพื่อการวาดรูปการแรเงาสามารถทำให้ภาพนั้นมีความลึกมีระยะใกล้ไกลและก็มองมีปริมาตรของมันมีการเปลี่ยนแปลงค่าของรูปร่างที่มีเพียงแค่ 2 มิติให้เป็น 3 มิตินั่นเอง ทำให้รูปร่างที่มีเพียงแค่ความกว้าง-ยาวเปลี่ยนแปลงค่าเป็นทรงมีความตื้นลึกหนาบางเกิดขึ้นได้อย่างน่าทึ่ง

การเขียนภาพแสงเงานั้น นักเขียนจำเป็นต้องรู้เรื่องการจัดน้ำหนักอ่อนแก่ให้ได้ใกล้เคียงกับน้ำหนักของแสงที่ตกกระทบผิววัตถุเสียก่อน เพราะว่าไม่เหมือนกันของน้ำหนักทำให้รู้สึกที่แตกต่างกันไปได้ อย่างเช่น น้ำหนักสีที่อ่อนให้ความรู้สึกเบา ส่วนน้ำหนักสีที่แก่ทำให้ดูแล้วรู้สึกหนักนั่นเอง ยิ่งไปกว่านี้ยังส่งผลให้เกิดระยะใกล้-ไกล สำหรับในการเห็นตลอดจนความรู้สึกด้านความงดงามในทางศิลป์

ในเนื้อหานี้นำเสนอแนวทางการแรเงา เป็นพื้นฐานการเรียนเบื้องต้น ดังต่อไปนี้

เทคนิคการแรเงามีดังนี้

-หรี่ตามองวัตถุที่เป็นหุ่นระบุพื้นที่แบ่งส่วนระหว่างแสงเงาออกมาจากกันให้เด่นชัดด้วยเส้นร่างเบาๆบนรูปทรงของภาพร่างที่วาดไว้นั้น โดยแบ่งได้ 2 ส่วนอย่างคร่าวๆคือ แสงกับเงาเพียงแค่นั้น

-แรเงาน้ำหนักในส่วนพื้นที่ที่เป็นเงาทั้งสิ้น ด้วยน้ำหนักเบาที่สุดของเงาที่ตกทอดบนวัตถุ แล้วก็เว้นพื้นที่ส่วนที่เป็นแสงเอาไว้

-ไตร่ตรองเปรียบเทียบน้ำหนักที่เบาที่สุดกับน้ำหนักที่เข้มในส่วนขึ้นอีกเท่าไร แล้วแบ่งน้ำหนักเงาที่อ่อนกับเงาที่เข้มขึ้นด้วยวิธีการร่างเส้นรวมไปถึงการแบ่งพื้นที่เบาๆด้วยเหมือนกันกับข้อ 1 ต่อจากนั้นก็แรเงาเพิ่มน้ำหนักในส่วนที่เข้มขึ้น ตลอดระยะเวลาจำเป็นที่จะต้องเปรียบเทียบน้ำหนักของเงาที่ลงใหม่กับเงาอ่อนรวมทั้งแสงที่เว้นไว้อยู่เป็นประจำเพื่อให้การแรเงาน้ำหนักได้ใกล้เคียงเรื่องจริง การแรเงาน้ำหนักจำเป็นต้องลงรวมๆไปทีละน้ำหนัก จะมีผลให้คุมน้ำหนักได้ง่าย

-การแรเงาน้ำหนักที่เข้มขึ้นจะใช้กรรมวิธีการเดียวกับข้อ 1 รวมทั้งข้อ 3 จนกระทั่งครบกรรมวิธีการ จะมีผลให้ได้ภาพที่มีน้ำหนักแสงเงาใกล้เคียงกับเรื่องจริงหลังจากนั้นเกลี่ยน้ำหนักที่แบ่งเอาไว้ในพื้นฐานให้ผสานกลมกลืนกัน

-ไตร่ตรองในส่วนของแสงที่เว้นไว้ จะมีความเห็นว่ามีน้ำหนักอ่อนแก่เหมือนกับในส่วนของเงาจำเป็นต้องใช้ดินสอลงน้ำหนักเบาๆในส่วนของแสงที่เว้นไว้ เพื่อเนื้อหาของแสงเงามีน้ำหนักที่สมบูรณ์

-เงาตกทอด ใช้วิธีการเดียวกับการแรเงาน้ำหนักบนวัตถุที่กล่าวมาข้างต้น แต่ว่าจะต้องสังเกตแนวทางของแสง ประกอบการเขียนแสงสำหรับในการวาดภาพปกติจะใช้โดยประมาณ 45 องศากับพื้น แต่ว่ามีข้อสังเกต เป็น ถ้าหากแสงมาจากมุมที่สูง จะมองเห็นเงาตกทอดสั้น ถ้าหากแสงมาจากมุมที่ต่ำลง เงาตกทอดจะยาวขึ้น ในส่วนน้ำหนักของเงาตกทอดเองก็จะมีน้ำหนักอ่อนแก่เหมือนกับแสงเงาบนวัตถุ เป็นเงาที่อยู่ใกล้วัตถุจะมีความเข้มกว่าเงาที่ทอดห่างตัววัตถุต้นเหตุมาจากแสงสะท้อนบริเวณตัววัตถุที่สะท้อนเข้ามาลบเงาให้จางลง