Category Archive : ประวัติและตำนาน

สงครามเย็นการขยายอิทธิพลของสองขั้วมหาอำนาจ

สำหรับสงครามเย็นหลายคนสงสัยว่ามันแปลว่าอะไรก็มีความหมายว่าคู่สงคราม โดยคู่สงครามนั้นจะไม่ได้ต่อสู้กันเองมองย้อนกลับไปนิดนึงหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วมหาอำนาจเดิมได้แก่อังกฤษฝรั่งเศสอยู่ในสภาพค่อนข้างที่จะอ่อนล้ากับภัยสงครามทรัยากรก็ดีกำลังคนก็ดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลยสามชาติหลักๆในยุโรปก็อังกฤษ ฝรั่งเศส และ เยอรมัน อ่อนล้าไปมากเลยทีเดียวดังนั้นเป็นปกติของโลกครั้งใดก็ตามที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ่อนล้าก็จะมีมหาอำนาจใหม่ขึ้นมาแทนกันด้วยมหาอำนาจขั้วใหม่สองขั้วซึ่งถือได้ว่าได้รับผลกระทบจากสงครามน้อยกว่าชาติอื่นๆได้แก่ สหรัฐอเมริกา

แน่นอนว่าสงครามโลกครั้งที่2 นี้ไม่ได้มีการใช้พื้นที่สหรัฐอเมริกาเป็นสมรภูมิเลยและในขณะเดียวกันสหภาพโซเวียตเองถึงแม้ว่าระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้จะถูกเยอรมันบุกค่อนข้างที่จะรุนแรงแต่กระนั้นถือได้ว่าจำกัดขอบวงของภัยสงครามเอาไว้ได้ค่อนข้างจำกัดทีเดียว

สงครามเย็นการขยายอิทธิพล ดังนั้นมหาอำนาจใหม่ที่เกิดขึ้นมาก็คือสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตในช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรื่องของอุดมการทางการเมืองอันได้แก่เสรีนิยมประชาธิปไตยและสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ถือได้ว่าเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็วผู้ที่ถือได้ว่าเป็นแกนนำของสองลัทธินี้ก็คือ 2 ขั้วมหาอำนาจนี้นั่นเอง

แต่แทนที่ทั้งสองคู่นี้จะใช้วิธีการรบโดยตรงไม่ใช่รูปแบบคือการใช้สงครามตัวแทนเป็นการแข่งขันระหว่างขั้วมหาอำนาจ 2 ขั้วในการที่จะดูว่าฝ่ายใดที่จะสามารถขยายอิทธิพลของอุดมการของการปกครองของตนเองได้มากกว่ากันด้วยอย่างที่ย้ำไม่ได้ใช้บ้านตัวเองเป็นสมรภูมิ

ดังนั้นต้องไปดูว่าเขาใช้สมรภูมิอะไรบ้างมองกลับไปนิดนึงว่าหลังสงครามโลกครั้งที่สองจะพบว่าประเทศต่างๆทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งเลยประเทศที่เคยตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษก็ดีฝรั่งเศสก็ดีจะอยู่ในภาวะที่เรียกว่าเหมือนอยู่บนถนน 4 แยกการปกครองใหม่

ซึ่งถือเป็นการปกครองด้วยคนของตัวเองดูง่ายๆเลยในกรณีของเกาหลีที่ถูกปลดปล่อยออกจากญี่ปุ่นกรณ๊ของเวียดนาม    alpha88   ที่ดูเหมือนกับใกล้ๆจะถูกปลดปล่อยออกจากฝรั่งเศสกำลังมองอยู่ว่าแล้วตกลงระบอบการปกครองของพวกเขาจะเดินหน้าไปทางไหนกันแน่

เพราะกระบวนการชาตินิยมถึงแม้ว่าต้องการที่จะได้รับเอกราชแต่ความเห็นหลังจากที่ได้รับเอกราชไปแล้วเห็นไม่ตรงกันบางฝ่ายเช่นกรณีของเวียดนามที่อาจจะมองว่าสังคมนิยมมาร์กซิสน่าจะเหมาะกับตัวเองในขณะเดียวกันก็มีเวียดนามบางส่วนก็มองว่าประชาธิปไตยน่าจะเหมาะกับตัวเองเช่นเดียวกันเกาหลีเองก็ไม่ต่างกัน

ดังนั้นช่วงที่โลกยังอยู่ในช่วงของการที่เรียกว่ายังไม่สะเด็ดน้ำหรือยังคิดอยู่ว่าจะเดินไปทางไหนกันบ้างก็เป็นโอกาสทำให้มหาอาจทั้งสองขั้วคือสหรัฐอเมริกาและสภาพโซเวียตนั้นคิดอยู่ว่าจะเดินหน้าไปทางไหนในการขยายอิทธิพลของตัวเอง

เจดีย์มิงกุน ประเทศพม่า 

       เจดีย์มิงกุน ประเทศพม่า    สำหรับในบทความนี้เราจะพาไปรู้จักเจดีย์เก่าแก่แห่งหนึ่งในประเทศพม่าซึ่งเจดีย์แห่งนี้นอกจากจะมีความเก่าแก่แล้วยังเป็นเจดีย์ที่ถูกระบุว่าในช่วงที่มีการก่อสร้างใหม่ๆนั้นมีความคาดหวังว่าจะสร้างเจดีย์แห่งนี้ให้เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในสุวรรณภูมินี้เลยก็ว่าได้

แต่ปรากฏว่าเมื่อมีการก่อสร้างจนเกือบจะแล้วเสร็จแล้วเจดีย์แห่งนี้กลับไม่สามารถที่จะเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้เพราะในปัจจุบันนี้ยังมีเจดีย์หรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆที่ใหญ่มากกว่านี้ทำให้เจดีย์ที่เรากำลังจะแนะนำดังต่อไปนี้จึงเป็นเพียงแค่เจดีย์ที่เกือบจะใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้นเอง 

          สำหรับเจดีย์ที่เรากำลังพูดถึงกันในครั้งนี้คือเจดีย์ที่ชื่อว่าเจดีย์มิงกุนซึ่งเจดีย์แห่งนี้นั้นมีการสร้างเอาไว้มาตั้งแต่สมัยพระเจ้าปดุง โดยประวัติความเป็นมาของเจดีย์เมืองกรุงแห่งนี้นั้นเป็นเจดีย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาอายุหลายร้อยปีแล้วเรียกได้ว่าในสมัยที่สร้างเจดีย์มีกรุงแห่งนี้พระเจ้าปดุงนั้น

มีความต้องการที่อยากจะสร้างเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในสุวรรณภูมิโดยมีการเลือกสถานที่ในการก่อสร้างเจดีย์มีกลุ่มเอาไว้ที่เมืองมัณฑะเลย์อย่างไรก็ตามเจดีย์มิงกุนนั้นไม่สามารถที่จะสร้างแล้วเสร็จในสมัยของพระเจ้าปดุงเนื่องจากว่าพระองค์นั้นได้สวรรนคตลงก่อนที่จะสามารถสร้างเจดีย์ดังกล่าวได้เสร็จ

         สำหรับการก่อสร้างเจดีย์ดินตรงนั้นความต้องการของพระเจ้าปดุงนั้นก็เพื่อที่จะสร้างเจดีย์แห่งนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะใช้เป็นสถานที่ในการทำนุบำรุงรักษาเกี่ยวกับด้านของพระพุทธศาสนาโดยแนวความคิดของพระองค์นั้นพระองค์อยากจะให้เจดีย์มิงกุนแห่งนี้มีความสูงถึง 150 2 เมตรแต่สุดท้ายแล้วการก่อสร้างก็สามารถสูงสุดได้อยู่ที่ 50 เมตรเพียงเท่านั้นซึ่งการก่อสร้างเจดีย์ในกรุงนี้ต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างนานถึง 7 ปี  

          ปัจจุบันเจดีย์เมืองกรุงนั้นนับได้ว่าเป็นเจดีย์ที่มีความเก่าแก่และสภาพของเจดีย์เมืองกรุงนั้นก็อยู่ในสภาพที่มีรอยแตกร้าวส่วนสาเหตุนั้นก็เพราะว่าการก่อสร้างที่ยังไม่แล้วเสร็จนอกจากนี้ในช่วงประมาณ 180 ปีก่อนหน้านี้เกิดแผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่ส่งผลทำให้เจดีย์นั้นได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวอีกด้วย

          ปัจจุบันทางการของประเทศเมียนมาร์ได้มีการเปิดเจดีย์มิงกุนให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวพม่าเองและชาวต่างชาติสามารถเข้าไปเยี่ยมชมความสวยงามในบริเวณพื้นที่ของเจดีย์มิงกุน รวมถึงบริเวณด้านในของเจดีย์มันคงได้อีกด้วยนอกจากนี้ว่ากันว่าสาเหตุที่เจดีย์มิงกุนแห่งนี้ยังสร้างไม่ทันเสร็จแต่พระเจ้ากระดุมก็เสียชีวิตก่อน

           เนื่องจากว่าพระองค์นั้นได้มีการทำสงครามกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกของไทย   แทงหวยจับยี่กี    ซึ่งตรงกับสมัยของยุครัตนโกสินทร์ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีการทำสงครามเก้าทัพการเกิดขึ้นนอกจากการก่อสร้างที่ไม่แล้วเสร็จเพราะว่าพระเจ้าปดุงเสียชีวิตก่อนแล้วยังเกิดปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของแรงงานที่จะมาใช้ในการก่อสร้างเจดีย์มีกลุ่มว่ามีแรงงานไม่เพียงพอต่อการมาก่อสร้างทำให้สุดท้ายแล้วจะดีมันคงจึงสามารถสร้างได้ความสูงแค่ 50 เมตรเท่านั้น 

สัตว์ในตำนานที่มีอยู่เฉพาะแค่ในวรรณคดีไม่มีอยู่ในชีวิตจริง

     สัตว์ในตำนาน  เชื่อว่าถ้าใครชื่นชอบเกี่ยวกับเรื่องของวรรณคดีต่างๆจะเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของสัตว์ต่างๆในตำนานโดยเฉพาะอย่างยิ่งวรรณคดีในสมัยสุนทรภู่นั้นมีสัตว์ในวรรณคดีต่างๆมากมายเต็มไปหมดซึ่งในบทความนี้เราจะมีการพูดถึงสัตว์ในวรรณคดีที่บางคนนั้นมีความเชื่อว่ามีอยู่จริง

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้เราจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ก็ตาม  สำหรับสัตว์ในวรรณคดีที่เราจะพูดถึงต่อไปนี้ได้แก่ เงือกและม้านิลมังกร  เรามาดูกันว่าสัตว์ในตำนานทั้งสองชนิดนี้ ผู้คนมีการพูดถึงประวัติอย่างไรบ้าง 

 เงือก

       เงือกเป็นสัตว์ครึ่งบกนุชชนิดหนึ่งตามความเชื่อนิยายปรัมปราเกี่ยวกับน้ำครึ่งท่อนบนเป็นคนครึ่งท่อนล่างเป็นปลาในหลายประเทศทั่วโลกก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานเงือกอยู่มากมายเหมือนกันบางคำว่าแท้จริงแล้วเลือกก็คือประยูรที่คนโบราณเกิดความเข้าใจผิดมองเห็นพยูนที่กำลังให้นมลูกและลอยตัวอยู่กลางทะเลเหมือนกับผู้หญิงให้นมลูกจึงกลายเป็นที่มาของเนื้อก็เป็นได้ตำนานเกี่ยวกับเงือกในประเทศไทยที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือเงือกในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ที่นางเงือกสาวและเลือกตายายช่วยพาพระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทรและนางเงือกก็ตกเป็นชายาของพระอภัยมณีจนมีโอรสที่ชื่อว่าสุดสาคร

ม้านิลมังกร

        เมื่อพูดถึงสุดสาครแล้วก็ต้องพูดถึงม้านิลมังกรพาหนะคู่ใจของสุดสาครเรื่องพระอภัยมณีด้วยสัตว์ประหลาดที่เกิดจากจินตนาการสุดล้ำของสุนทรภู่นั่นเองม้านิลมังกรเป็นลูกผสมที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างแม่ม้ากับพ่อมังกรโดยมีส่วนหัวเป็นมังกรเหมือนพ่อส่วนตัวจนถึงฐานเป็นไม้เหมือนแม่มีหางนาคลำตัวเป็นสีดำแวววาวสมกับชื่อนิลมังกรและมีพลังขาเหนือกว่าม้าหลายร้อยเท่าจึงสามารถวิ่งบนอากาศได้

 

          ม้านิลมังกรปรากฏตัวครั้งแรกที่ชายหาดเกาะแก้วพิสดารเป็นสัตว์ดุร้ายมีฤทธิ์มากและสุดสาครก็ปราบได้สำเร็จด้วยมนต์และไม้เท้าวิเศษของพระฤาษีที่มอบให้จนได้ม้านิลมังกรเป็นพาหนะคู่ใจที่มีความซื่อสัตย์ต่อนายมากสันนิษฐานว่าสุนทรภู่อาจจินตนาการมาจากกินเลนในวรรณคดีของจีนที่เข้ามาในประเทศไทยช่วงเวลานั้นเราไม่ปรากฏสัตว์ลักษณะนี้ในความเชื่อหรือวรรณคดีเรื่องใดของไทยมาก่อนเลย

 

        ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตหรือสัตว์ในตำนานเหล่านี้จะเป็นแค่เรื่องเล่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคลหรือเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาจากจินตนาการและความเป็นมาของสัตว์ในตำนานที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวยิ่งทำให้มีเสน่ห์น่าค้นหาและยังสะท้อนถึงคติความเชื่อของผู้คนในสังคมนั้นๆได้อีกด้วย 

 

สนับสนุนโดย.    huaydee

สงครามเย็นของกลุ่มตาลีบันกับอัฟกานิสถาน

ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องที่กำลังร้อนแรงมากที่สุด  ลุ่มตาลีบันกับอัฟกานิสถาน  ในตอนนี้เป็นเรื่องสงครามระหว่างตาลีบันกับอัฟกานิสถานที่มีคำถามว่ามีจุดเริ่มต้นได้อย่างไรแล้วทำไมอเมริกาที่คอยอยู่ช่วยเหลือมาตลอดเกือบ20ปีต้องถอนทหารออกไปด้วย เรื่องนี้ต้องย้อมกลับไปในยุคสงครามเย็น

สหภาพโซเวียตได้ใช้กองกำลังทหารบุกเข้ามายึดครองประเทศอัฟกานิสถานเอาไว้ได้อย่างไรก็ตามในปี1979ประชาชนอัฟกานิสถานส่วนหนึ่งไม่ต้องการถูกยึดครองโดยโซเวียตจึงได้ตั้งทหารแบบกองโจรขึ้นมาในชื่อกลลุ่ทว่า มูจาฮีดีน เป้าหมายของมูจาฮีดีนนั้นคือการขับไล่โซเวียตออกจากประเทศให้ได้

ซึ่งด้วยสหรัฐกับโวเวียตต่อสู้กันในสงครามเย็นอยู่แล้วทางฝั่งสหรัฐจึงได้ให้เงินทุนและก็อาวุธให้กับกลุ่มมูจาฮีดีนเพื่อนำเอาไปสู้กับโซเวียตโดยบทสรุปว่ามูจาฮีดีนทำได้สามารถขับไล่พวกโซเวียตออกจากนอกประเทศได้สำเร็จในปี1989แต่ปัญหาก็คือว่ามูจาฮีดีนเป็นการรวมตัวกันของชาวอัฟกานิสถานหลากหลายแนวความคิด

เมื่อโซเวียตออกไปอำนาจในการปกครองประเทศจึงว่างลงทำไมกลลุ่มมูจาฮีดีนแตกย่อยกระจายออกเป็นหลายกลุ่มตามแต่แนวทางความเชื่อของตัวเองบางคนอยากให้ประเทศเจริญเหมือนชาติตะวันตกแต่ว่าบางคนอยากจะให้เป็นรัฐอิสลามอย่างเคร่งครัด

ในปี1994กองทหารชื่อกลุ่มตาลีบันก่อตั้งทหารขึ้นมาโดยคนตั้งกลุ่มที่มีชื่อว่ากลุ่มโมฮัมเหม็ดโอมาร์แนวคิดของตาลีบันก็คือนำพาอัฟกานิสถานให้กลายเป็นรัฐอิสลามอีกครั้งโดยจะมีกฎข้อบังคับต่างๆอย่างเข้มงวดเช่นห้ามดูหนังห้ามฟังเพลงเด็กผู้หยิงห้ามเรียนหนังสือและผู้หยิงที่โตแล้วห้ามทำงานนอกบ้านยกเง้นแค่อาชีพหมดและต้องใส่ผ้าคุมให้เห็นแค่ดวงตาเท่านั้น

ในปี1996กองทหารตาลีบันเข้ายึดครองเมืองคาบูลได้สำเร็จพร้อมประกาศว่าจะเปลี่ยนชื่ออัฟกานิสถานและอิสลามอันเข้มงวดก็เริ่มถูกใช้ตั้งแต่วันนั้นไม่เพียงแต่ตีกรอบเพศหณิงอย่างเข้มงวดเท่านั้นแต่ว่าผู้ปกครองที่เป็นผู้ชายถ้าหากควบคุมลูกสาวของตัวเองไม่ได้ก็จะมีบทถูกลงโทษด้วยเช่นพ่อของเด็กสาววัย15ปีคนหนึ่งที่ปล่อยให้ลูกสาวไปโรงเรียนปปรากฎว่าโดยกลุ่มตาบีบันบุกเข้ามาสังหารถึงบ้านเพราะมองว่าเป็นความผิด

ความเชื่อมโยงของตาลีบันกับสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นในปี2001เมือ่เกิดเหตุการนายอีเลฟเว่นเครื่องบินชนกับตึกเซ็นเตอร์โดยผู้ประกาศตัวว่าคนทำก็คือ โอซามา บินลาดิน ผู้นำกลุ่มอัลกออิดะฮ์

โดยหลังก่อเหตุแล้วบินลาดินได้หนีมาซ้อนตัวอยู่ที่อัฟกานิสถานภายใต้การคุมครองของตาลีบันโดยได้มีการวิเคราะห์กันว่ากลุ่มอัลกออิดะฮ์กับตาลีบันมีความสัมผัสต่อกันในฐานะเป็นกองทัพทหารอิสลามคล้ายกัน

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.  aesexy

ตำนานสงครามโลกของประเทศรัสเซีย

เราอยากจะบอกว่าเรื่องนี้พอพูดชื่อมา80%ของคนที่ใช้อินเตอร์เน็ตหรือท่องโลกอินเตอร์เน็ตอยู่เชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะเคยได้ยินอย่างแน่นอนเพราะว่าเรื่องนี้เป็นการทดลองที่โลกโซเซียลออนไลน์ได้มีการแชร์บอกต่อกันเยอะมากหรือว่าในเว็บอื่นๆอีกมากมายเขาได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก

เพราะว่าเรื่องนี้มันเป็นการทดลองในช่วงสมัยปลายสงครามโลกครั้งที่2ว่ากันว่าการทดลองนำเอาคนเป็นมาทำกรอดนอนไม่ต่ำกว่า2อาทิตย์โดยได้ใช้ตัวยาตัวหนึ่งไปกระตุ่นให้ขั้นตื่นอยู่ตลอดเวลา

ซึ่งในการทดลองครั้งนี้รัสเซียจะนำเอาไปใช้ในสงครามโดยการให้ทหารของเขาได้รับยาเหล่านี้และตื่นตัวและพร้อมรบอยู่ตลอดเวลานั่นเองแต่เราอยากจะบอกว่าการทดลองครั้งนี้มันก็น่ากลัวกว่าที่คิดเพราะว่าผลของการทดลองในครั้งนี้ได้ทำการเปลี่ยนให้คนธรรมดากลายเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ไม่สามารถบอกได้เลยว่ามันคือตัวอะไรกันแน่นั่นเอง

โดยเราอยากจะบอกว่าในหัวข้อนี้มันค่อนข้างที่จะน่าสนใจเป็นอย่างมากหากย้อนความกลับไปในหน้าประวัติศาสตร์ที่มนุษย์เราเคยได้มีการจดบันทึกเอาไว้ถ้าหลายๆคนลองไปศึกษาดูแล้วจะรู้ว่ามนุษย์เรานั้นก่อนที่จะมีสังคมก่อนที่จะมีอารยธรรมต่างๆนานามากมายก้มีการต่อสู้รบลาฆ่าฟันกันมาตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบัน

ซึ่งการต่อสู้รบลาฆ่าฟันเหล่านั้นก็จะมีการพัฒนาเรื่องของการใช้อาวุธมากเรื่อยๆตั้งแต่การใช้อาวุธจากธรรมชาติหินไม้หรือสิ่งต่างๆที่เราหาได้จากตามในป่าจนมาในยุคหลังๆก็เริ่มมีการดัดแปลงในการใช้ธนูในการใช้หน้าไม้ในการใช้โล่ใช้ดาบต่างๆนานามากมายและมาถึงในยุคก่อนปัจจุบันนั่นก็คือการใช้อาวุหนักหรือว่าพลุปืนไฟนั่นเอง

นอกจากนี้การใช้อาวุหนักปืนไฟหรือรถถังต่างๆจจะนิยมมากในช่วงสมัยของสงครามโลกครั้งที่1และในสมัยนั้นต้องใช้คำว่าเป็นอาวุที่ค่อนข้างจะใหม่และทั่วโลกที่ได้ทำสงครามกันอยู่ก็สนใจเป็นอย่างมากเพราะว่ามันได้มีประสิทธิภาพที่ค่อยข้างสูง

ดังนั้นพอมาถึงในช่วงของสงครามโลกครั้งที่2แนวคิดนี้ก็เริ่มมีการเปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่งเนื่องจากว่าในสมัยของสงครามโลกครั้งที่2นั้นมีการนำเอาวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยว่ากันว่าได้มีหลายๆประเทศได้ทำการทดลองอย่างลับๆแบบไม่บอกกันอยู่

เพราะฉะนั้นแล้วเราขอยกตัวอย่างเช่นประเทศญี่ปุ่นเขาได้ทำการจับเฉลยศึกของสงครามมาทำการเพราะเชื้อโรคและได้ทำการเก็บเอาเชื้อโรคเหล่านั้นไปทำทเป็นอาวุชีวะภาพ

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย    U12 Sports

ตำนานผีดุ ที่เมืองนิวส์ออร์ลีน  ประเทศสหรัฐอเมริกา

    ประเทศสหรัฐอเมริกามีเมืองท่าที่สำคัญเมืองหนึ่งนั่นก็คือเมืองนิวส์ออร์ลีน  ที่นี่นักท่องเที่ยวหลายคนจะรู้จักกันดีในนามสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความงดงามด้านสถาปัตยกรรม แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่าที่นี่เคยมีตำนานที่น่าสะพรึงกลัวที่หลายคนได้ฟังแล้วจะรู้สึกขนหัวลุกเลยทีเดียวแต่ที่เมืองนิวส์ออร์ลีนไม่ได้มีแค่ตำนานเดียวเท่านั้นความน่ากลัวของที่นี่มีอะไรตำนานด้วยกัน

ไม่ว่าจะเป็นตำนาน เกี่ยวกับผีดูดเลือด   ตำนานที่มีประชาชนตายเป็นจำนวนมากรวมถึงมีหลุมฝังศพอยู่เกลื่อนเมืองลามไปจนถึงตำนานของเหล่าพ่อมดแม่มดหรือหมอผีพวกลัทธิวูดูต่างๆและถ้าหากยังเคยจำกันได้นี่มึงถ้าแห่งนี้ยังเคยเป็นที่ระบาดของโรคอหิวาและโรคไข้เหลืองที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากหลายหมื่นคนที่เมืองท่าแห่งนี้และความน่ากลัวก็เกิดขึ้นเมื่อในปีคริสตศักราช 1800 มีผู้นำลัทธิคนหนึ่งชื่อมารีลาโว   เธอเป็นคนที่สามารถจูงใจให้ชาวเมืองเชื่อตามเธอได้

โดยเธอเหมือนเป็นคนอยากรู้ดินฟ้าอากาศรู้ข้อมูลการเคลื่อนไหวของคนอื่นๆทั้งหมดและเธอสามารถโน้มน้าวจิตใจคนให้หันมานับถือลัทธิของเธอโดยเธอเป็นผู้นำให้ผู้คนนับถือพระแม่มารีและยัง นำศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกเข้ามามีอิทธิพลในลัทธิบูดูของเธออีกด้วยหลังจากที่เธอเสียชีวิตลงแล้วร่างของเธอได้ถูกนำไปฝังในสุสานเซนต์หลุยส์

ซึ่งเป็นหลุมฝังศพหมายเลข 1 โดยสุขสันต์ของเธอนั้นมีทั้งหมด 2 ชั้นโดยทำเป็นจากหินสีขาวและใกล้ๆกันนี่เองมีบ้านหรูหราแห่งหนึ่งซึ่งได้รับมรดกตกทอดมาในปีคริสต์ศักราช 1831 มีหญิงสาวคนหนึ่งเธอเป็นเจ้าของบ้านหลังดังกล่าวซึ่งเธอร่ำรวยเงินทองเป็นอย่างมากมีข้าทาสบริวารหลายร้อยคนมีเรื่องเล่ากันว่าบ้านของเธอถูกไฟไหม้ทำให้นักดับเพลิงเข้าไปช่วยเหลือและพวกเขาก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นว่าหลังจากมีการดับไฟที่บ้านหลังเก่าได้แล้วพวกเขาพบทาสเป็นจำนวนมากที่ถูกทรมาน

จากเจ้าของบ้านสาวโดยลักษณะของพวกทาสเหล่านั้นบางคนก็ถูกตัดแขน บางคนก็ถูกตัดขา   คนก็ถูกเย็บปากหรือบางคนหน้าตาก็เสียโฉมโดยถ้าทุกคนจะต้องถูกล่ามโซ่เอาไว้ไม่ว่าจะเป็นทาสผู้ชายหรือถ้าผู้หญิงต่างก็ถูกทรมานด้วยกันทั้งสิ้นนับร้อยๆคนแถมบางคนยังถูกขังในกรงหมาและยังมีหลุมฝังศพของข้าที่ถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมากนับไป 100 ศพด้วยกัน

ด้วยว่ากันว่าเธอนั้นคือฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าข้าทาสบริวารของตนเองมาเป็นเวลาหลายปีหลังจากที่นักดับเพลิงเข้าไปพบความจริงดังกล่าวเธอก็ถูกจับกุมตัวแต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ถูกปล่อยตัวออกมาเนื่องจากว่าเธอมีญาติเป็นผู้ว่าที่คอยช่วยเหลือเธอให้เธอพ้นผิดในครั้งนี้และสิ่งที่น่ากลัวเมื่อผู้คนผ่านไปผ่านมาที่หมู่บ้านหลัง

ดังกล่าวนั่นก็เพราะว่าพวกเขาจะได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนๆบางครั้งก็ได้ยินเสียงการฟาดแส้ซึ่งหลายคนเชื่อกันว่าเป็นเสียงของวิญญาณที่ถูกหญิงสาวทรมานจนตาย

 

สนับสนุนโดย  bk8

การหายตัวไปที่ไร่ร่องรอย

ในวันนี้เราจะพาไปชมเรื่องราวของบุคคลที่พวกเขานั้นได้หายตัวไปและได้ใช้ชีวิตอย่างโดดเดียวในพื้นที่ในป่าแห่งใหญ่ได้เป็นเวลานานหลายสิบปีและชีวิตของพวกเขานั้นจะเป็นอย่างไรนั้นเราลองไปชมกันดู

Rochom Pngieng

และสำหรับเรื่องนี้นั้นลองย้อนกลับไปเมื่อวันที่13มกราคม ในปี คศ2007 ก็ได้มีผุ้พบเห็นหญิงสาวคนหนึ่งได้กำลังเดินออกมาจากในป่าลึกในเขตของพื้นที่จังหวัดรันตนคีรีของประเทศกัมพูชา ซึ่งหญิงสาวคนนี้นั้นก็ได้มีท่าทีแปลกๆไม่ว่าจะเป็นในตอนที่เธอนั้นเปลือยกายไม่ใส่เสื้อผ้าและร่างกายก็เต็มไปด้วยรอยของแผลเป็นสีผิวที่ดูค้ำและไม้เกรียมผมยาวลุงรังไปจนถึงขาและสิ่งที่ยาวและแหนมคมที่ไม่เคยตัดและนอกจากนั้นเธอยังมีภาพทางการเดินที่ได้โน้มตัวลงมาข้างหน้าเหมือนกันลิง

และที่สำคัญเธอนั้นไม่สามารถที่จะพูดภาษาของมนุษย์ได้และเรื่องนี้ก็ได้ไปถึงด้านสำนักงานใหญ่ทุกคนต่างก็จะให้ความสำคับต่อเรื่องแบบนี้เป็นอย่างมากและอย่างจะรู้ที่มาที่ไปที่เกี่ยวข้องกับตัวเธอเป็นอย่างมากซึ่งก็ได้มีการเรียกคานและยังได้ตั้งสมยานามว่าหญิงสาวชาวป่าแห่งประเทศกัมพูชาและในภายหลังจากที่ได้มีกับพบหญิงสาวชาวป่าของประเทศกัมพูชาได้ถูกเผยแพร่ออกไปซึ่งก็ได้เป็นตำรวจที่ได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ไม่ไกลไปจากหมู่บ้านของเธอก็ได้ออกมาบอกว่าหญิงสาวชาวป่าคนนี้นี่แหละคือลูกสาวของตนเองนี่แหละ

เมื่อในปี คศ.1988 เธอนั้นได้มีชื่อว่าRochom Pngieng โดยชายคนนี้นั้นก็ยังได้บอกอีกว่าRochom Pngieng นั้นได้หายตัวไปในตอนระหว่างที่ตัวเธอนั้นได้ออกไปต้อนฝูงควายที่กินหญ้าอยู่ในป่าใหญ่ในช่วงเวลาขนาดนั้นเธอมีอายุเพียงแค่8และในภายหลังจากนั้นเธอคนนี้ก็ไม่ได้กลับมาอีกเลยซึ่งทุกๆก็ได้ได้ช่วยกันที่จะออกพยายยามที่จะตามหาตัวเธอ

แต่ก็ไม่สามารถที่จะพบร่องรอยของตัวเธอเลยใดๆในทั้งสิ้นจนในที่สุดแล้วก็ต้องเลิกและถอดใจและได้ยกเลิกในการค้นหานั้นเพราะได้เชื่อกันว่าเธอนั้นก้น่าจะถูกเหล่าฝูงสัตว์ป่าได้ถูกจับเอาไปกินแล้วก็ได้และก็ได้เสียชีวิตลงแล้วและหลังจากที่ได้มีการตรวจสอบด้านเอกสารดังกล่าวแล้วก็สามารถที่จะพิสูจน์ได้อีกว่าหญิงสาวคนนี้นั้นเธอก็คือRochom Pngieng ตัวจริงและเธอนั้นก็ได้กลับไปอยู่กับครอบครัวที่ได้พัดพรากอีกครั้งแต่ทว่าทางRochom Pngieng นั้นไม่สามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่ไม่คุ้นเคยนี้ได้

 

สนับสนุนโดย  sagame

ประเพณีของคอนยัค

รัฐบาลอินเดียจะเปลี่ยนแปลงประเพณีของคอนยัคได้หรือไม่

สัญชาตญาณนักล่าที่ได้ถูกสืบทอดต่อๆกันมาในชนเผ่าคอนยัคนั้นทำให้พวกเขามักจะรอคอยจังหวะและหาโอกาสบุกทำร้ายล้างหมู่บ้านอื่นๆโดนที่พวกเขาสามารถที่จะลงมือฆ่าคนได้แทบจะทุกชนเผ่าหรือทุกสิ่งที่อยู่ขวางหน้าไม่เวว้นแม้แต่ชนเผ่าแชงที่ได้เปรียบเสมือนกับว่าเป็นชนเผ่าพี่น้องซึ่งได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแห่งดินแดนกานาอย่างเช่นเดียวกัน

กับพวกเขาประเพณีอันเรืองชื่อของชนเผ่าคอนยัคคือการออกไรล่าตักศรีษะฝ่ายศัตรูด้วยอาวุธที่เป็นมีดอย่างคมกริบซึ่งได้เป็นอาวุธประจำกายที่น่ากลัวของชนเผ่านี้ประเพณีการออกล่าชนเผ่าหัวมนุษย์ของชนเผ่าคอนยัคได้เป็นที่กล่าวขวัญเป็นอย่างมากจนทำให้ทุกคนต่างก็พากันหวาดกลัวกันไปทั่วแม้แต่ในยุคสมัยของการล่าเมื่องขึ้นที่ประเทศอังกฤษ

ยังคงเป็นมหาอำนาจทางการสงครามซึ่งจนกระทั่งทหารอังกฤษเองก็ยังไม่สามารถที่จะร่วงล้ำเข้าไปในดินแดนของชนเผ่าของคอนยัคได้พวกทหารอังกฤษนั้นจะหลีกเลี่ยงในการรุกล้ำเข้าสู่ดินแดนแห่งนี้เพราะนอกจจากจะเป็นการเอาชีวิตของทหารเป็นๆไปทิ้งให้เป็นศพไร้หัวจนเต็มพื้นที่แล้วพวกทหารอังกฤษก็ยังไม่เคยที่จะได้อะไรกลับมาจากดินแดนของชาวเผ่าคอนยัคเลย

หรือแม้แต่จะใช้กลยุทธวิธีที่ในครั้งหนึ่งกลยุทธนี้เคยทำให้อังกฤษสามารถที่จะเอาชนะราชวงศ์ชิงของจีนจนได้สำเร็จมาแล้วนั่นก็คือยุยงให้ชนเผ่าพื้นเมืองหันมาปลูกและเสพฝิ่นเพื่อเป็นการทำร้ายความเข้มแข็งของชนเผ่าดั่งเดิมแต่กลยุทธ์นี้ไม่สามารถทำร้ายพฤติกรรมความรุกแรงแข็งก้าวของชนเผ่าคอนยัคได้อยู่ดีแม้แต่กำลังและคามพยายามของทางการอินเดียเองก็ยังไม่สามารถที่จะเปลี่ยนเปลงวัฒนธรรมการฆ่าตัดคอของพวกชนเผ่าเก่าแก่ดั่งเดิมนี้

ได้ซึ่งไม่ว่าทางการจะพยายามที่จะกดดันอย่างใดแต่ผลรับที่ดีที่สุดนั้นก็เป็นการปีปให้ชนเผ่าคอนยัคหลีกเลี่ยงการฆ่าตัดคอเหยื่ออย่างเปิดเผยเหมือนอย่างเช่นแต่ก่อนเป็นมาการรักรอบการสังหารเหยื่ออย่างหลบๆซ้อนๆเท่านั้นในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ทางการอินเดียจะคอยสอดส่องกันอย่างเข้มงด

เพื่อไม่ให้มีวัฒนธรรมในการทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเองแต่อย่างไรก็ตามหลายคนนั้นก็ยังเชื่อว่าชาวคอนยัคก็ยังคงยึดมั่นที่จะสืบทอดประเพณีการตัดหัวกันต่อไปอย่างไม่ลดระถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำการตัดคอกันอย่างโจ่งแจ้งเหมือนอย่างเช่นแต่ก่อนก็ตามทีทั้งนี้ก็ได้มีการพบว่ามีการนำเอาซากหัวกระโหลกมนุษย์เอาไปซ้อนเอาไว้ในป่าจนในที่สุดกองกระโหลดเหล่านั้นก็มีการเพิ่มมากขึ้น

ชนเผ่าล่าหัวคนที่หลงเหลือมาจากยุคโบราณ

ชนเผ่าคอนยัคนักล่าหัวมนุษย์แห่งโลกในยุคปัจจุบันหากจะผู้ถึงรัฐนาคาแลนด์หรือนากาแลนด์ซึ่งได้เป็นรัฐหนึ่งของประเทศอินเดียที่ได้มีชนเผ่าแย่ๆได้อาศัยกันอยู่มากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็จะพบว่าได้มีชื่อของชนเผ่าคอรยัครวมอยู่ด้วยหากแต่ว่าชื่อของชนเผ่านี้อาจจะมีอีกหลายคนลบโลกที่ยังไม่เคยได้ยินชื่อหรือรับรู้ถึงการมีตัวตนของชนเผ่าเก่าแก่กลุ่มนี้มาก่อน

แต่สำหรับชาวอินเดียแล้วเมื่อพวกเขาได้ยินชื่อชนเผ่ากลุ่มนี้ขึ้นมาครั้งใดก็จะทำให้หลายคนก็จะต้องรู้สึกหวาดกลัวทุกครั้งไป ซึ่งนั่นมันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากคนทั่วไปที่ได้ยินชื่อของกลุ่มก่อการร้ายลายใหญ่จากในข่าวสารในยุคปัจจุบัน  ชื่อของชนเผ่าคอนยัคนั้นราวกับว่าเป็นชื่อแห่งความตายหรือได้เป็นชื่อที่อันตรายที่ผู้คนไม่ค่อยอยากจะได้ยินนักอีกทั้งชาวบ้านทั่วไปมักจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองนั้น

จะต้องเฉียดเข้าไปไกล้กับพื้นที่ของชนเผ่ากลุ่มนี้โดยเด็ดขาดเพราะผู้คนในชนเผ่าคอนยัคได้เปรียบเสมือนกับเป็นปีศาจนักรบในคาบมนุษย์ที่ได้มีความเฮียมโหดอำมหิตผสมไปกับความบ้าคลั่งไปกว่าที่ใครจะคาดเดาได้หรือว้าหากผู้ใดที่คิดจะย่างกายเข้าไปเยือนดินแดนนากาแลนด์ต่างก็จะต้องระวังตัวเอวไว้ให้ดีเพราะไม่มีสิ่งใดเลยที่จะรับประกันได้เลยว่าพวกเขาจะได้เดินทางออกมาอย่างปลอดภัยภายในดงป่าแห่งทึบแห่งดงนากาแลนด์ที่นี่ได้เป็นที่ซ้อนตัวของชนเผ่าคอนยัคที่ยังคงสืบทอดประเพณีโบราณของชนเผ่าตนเองมากอย่างต่อเนื่องจวบจนมาถึงยังโลกสมัยใหม่

ซึ่งประเพณีที่ว่านี้ก็คือ ประเพณีการสังวาลย์ชีวิตศัตรูมอบให้แก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยวิธีการตัดศีรษะมนุษย์อย่างอำมหิตอย่างเลือดเย็นไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาแค่ไหนแต่พวกเขาก็ยังคงความเฮียมโหดเอาไว้อย่างที่ได้เคยเป็นมาด้วยการรักษาพิธีกรรมฆ่าตัดหัวอยู่เช่นเดิมและทั้งหมดนี้ก็ได้เป็นการสืบทอดในการเจตนาโรมแห่งวัฒนาธรรมของชนเผ่าตนต่อไปอย่างไม่จบสิ้นถึงแม้ว่าสิ่งที่พวกเขานั้นได้กระทำนั้นจะถูกประกาสจากทางรัฐบาลอินเดียได้ประกาสสั่งห้ามแล้วนับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม

และด้วยวัฒนธรรมและด้านพิธีกรรมที่โหดร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้จึงได้ทำให้ผู้คนในสมัยในยุคปัจจุบันจำนวนมากจะต้องเกิดความรู้สึกประหลาดใจเพราะไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีเรื่องราวอันโหดร้ายสหยองขวัญของคนชนเผ่ายุคโบราณคงเหลือรอดมาถึงในยุคสมัยใหม่เช่นนี้ได้แต่อย่างไรก็ตามพวกชนนเผ่าคอนยัคก็ได้ถูกทางการจำกัดให้อยู่แค่ภายในบริเวณในพื้นที่ของรัฐนากาแลนด์เท่านั้น

ตำนานนางตานี

นางตานีถือเป็นนางไม้เป็นลูกเทวดาชนิดหนึ่งมี วิมานอยู่ที่ต้นกล้วยตานีนางตานีจะมีรูปร่างหน้าตาสวยสดหมดจดงดงาม มีกลิ่นกายหอม ไว้ผมยาวสลวยฝ่ามือฝ่าเท้าแดงอ่อนๆริมฝีปากสวยมีสีเหมือนดั่งตำลึงสุกซึ่งตามความเชื่อกันว่าถ้าหากต้นตานีมีลักษณะเป็นทรงอ้วนนางตานีที่สิงอยู่ในต้นกล้วยตานีก็จะมีรูปร่างท้วม  ถ้าหากต้นกล้วยมีรูปร่างที่สูงโปร่งก็จะมีรูปร่างที่สวยเพรียวซึ่งนางตานีเจ้าห่มสไบสีเขียว    

ดูโจงกระเบนแบบหญิงโบราณและสีของชุดนางตานีก็จะเปลี่ยนไปตามอายุสีของต้นกล้วยด้วย นางตานีมักจะใจดีขอให้โชคให้ลาภ แก่คนที่มาบูชา  หรือให้ลาภกับเจ้าของบ้านที่ต้นกล้วยตานีขึ้นอยู่ หากว่าใครเป็นอะไรขัดใจหรือว่าเป็นการลบหลู่แม่ตานี นางตานีก็จะแสดงความดุร้ายออกมาที่เฮี้ยนมากๆก็อาจจะก่อให้เกิดถึงตายได้แต่ว่ากันว่านางตานีนั้นยังไม่ดุร้ายเท่ากับนางตะเคียนเพราะถ้าหากว่าใครสำนึกผิดแล้วมากราบขอโทษขอร้องขอขมานางตานีก็จะยกโทษให้

ถ้าใครอยากรู้ว่าต้นกล้วยต้นไหนที่มีนางตานีสิงอยู่นั้น ให้ดูที่ต้นกล้วยที่สูงที่สุดที่อยู่ในดงกล้วยตานีนั้น หรือดูที่ความแปลกประหลาดของต้นกล้วยตานี เช่นต้นกล้วยตานีอาจจะออกลูกออกเครือแตกต่างจากต้นกล้วยตานีต้นอื่นอื่นทั่วไป ด้วยเหตุที่พายจะมีเป็นผี จึงมักไม่นิยมกล้วยตานีไว้ใกล้บ้าน และยังมีความเชื่ออีกว่าหากใครที่ต้องการจะตัดใบตองของต้นกล้วยตานีไปใช้ห้ามตัดทั้งหมด แต่ถ้าจะตัดทั้งหมดก็ต้องหักกันใบตองเสียก่อนถึงจะหักตัดเอามาใช้ได้

หรือจะใช้เป็นวิธีการเอามาเฉพาะใบอย่างเดียวแต่เอาก้านไว้ต้นก็ได้แต่ถ้าใครเอาใบตองมาทั้งต้นและก้านหมดเลยทั้งที่ไม่หักก่อนก็จะเกิดเหตุร้าย และจะมีคนภายในบ้านตาย ในไม่ช้า  ซึ่งความเชื่อนี้น่าจะมาจากในสมัยโบราณผู้คนมักจะนิยมใบตองของต้นกล้วยตานีมาลองไว้ในโลงศพเพื่อให้คนตายนอนทับ ในสมัยโบราณหากกล้วยตานีมีการออกหัวปลีก็มักจะมีการทำพิธี พลีพรายนางตานี ซึ่งเครื่องพลีก็จะมี หัวหมู บายศรี อาหารคาว อาหารหวาน ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ข้าวตอกดอกไม้ และธูปเทียน

การเตรียมน้ำหอมเครื่องหอมและแป้งกระแจะจันทร์เป็นต้น ซึ่งในการทำพิธีนั้นเจ้าบ้านจะต้องนำแหวนสร้อยทองไปประดับไว้ที่ปลีกล้วยรวมถึงต้องนำผ้าแพรสีต่างๆอาจจะเอาสีเขียวหรือสีแดงก็ได้ไปผูกไว้ที่ต้นกล้วยตานี เปรียบเหมือนว่าเป็นการแต่งกายให้แม่นางตานี แล้วจึงทำการขอพรนางตานีไปช่วยคุ้มครองคนในบ้านให้อยู่ร่มเย็นและมีความสุข

หรือบางทีก็จะมีการนำพระสงฆ์สวดทำบุญด้วย บางทีหมอที่ทำพิธีเสร็จ แล้ว เราจะนำดอกในกล้วยตานีไปตากแดดให้แห้งแล้วนำมาบดเป็นผง ผสมกับผงดินสอขาวที่ลงยันต์เรียบร้อยแล้ว มาทำให้เกิดเป็นสีผึ้งเมื่อใช้แล้วก็จะเกิดทำให้คนที่ใช้มีเสน่ห์เป็นเมตตามหานิยมพูดอะไรใครก็เชื่อ ถ้าหากว่ามีการทำพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้วแล้วกล้วยตานีมีการออกปลีกลางต้นนั่นหมายถึงว่าได้มีนางตานีเกิดขึ้นแล้ว