Category Archive : ประวัติศาสตร์

อาดัมเป็นคนแรกของโลกที่รู้เรื่องของหินศิลานักปราชญ์

สำหรับหินศิลานักปราชญ์ตรงนี้แล้วตามความเชื่อนี้มันจะมีอยู่สองรูปแบบด้วยกันคือหินศิลานักปราชญ์ที่เป็นสีขาวกับหินศิลานักปราชญ์ที่เป็นสีแดง โดยหินศิลานักปราชญ์สีขาวตรงนี้ มันจะเปลี่ยนให้โลหะหรือสิ่งของต่างๆกลายเป็นเงินแท้ได้ส่วนหินศิลานักปราชญ์ที่เป็นสีแดงเขาได้บอกเอาไว้ว่ามันสามารถเปลี่ยนสิ่งของหรือโลหะให้กลายมาเป็นทองได้นั่นเองและตามข้อมูลตรงนี้เขายังได้บอกอีกว่า 

ถ้าหากใครที่ได้ครอบครองหินศิลานักปราชญ์และนำเอาหินศิลานักปราชญ์นั้นนำเอามาทำให้กลายเป็นของเหลวพร้อมกับดื่มมันเข้าไปบุคคลที่ได้ดื่มมันเข้าไปนั้นว่ากันว่ามันจะทำให้มีอายุยื่นยาวได้มาขึ้นถึงอีกหนึ่งเท่าตัวและได้กลับมามีวัยหนุ่มอีกครั้งหรือถ้าดื่มมันเข้าไปมากพอมันก็อาจจะทำให้คุณนั้นกลายเป็นอมตะได้เลย

ซึ่งในความเชื่อของยาอมตะหรือศิลานักปราชญ์ตรงนี้มันก็ไม่ได้มีเพียงแค่การเล่นแร่ของการแปลงธาตุแต่ในความเชื่อของคนจีนในสมัยก่อนเขาก็ได้มีความเชื่อในเรื่องของยาอายุวัฒนและการเล่นแร่แปลงธาตุที่เกี่ยวกับเรื่องของทางการแพทย์เลยทำให้จีนในสมัยก่อนวิทยานทางการแพทย์หรือศาสตร์ต่างๆที่เกี่ยวกับทางการแพทย์มันค่อนข้างที่จะพัฒนาไปจนถึงจุดสูงสุดแต่มันยังไม่ถึงจุดสูงสุดตรงที่ว่าเขายังไม่สามารถที่จะหายาอายุวัฒนะหรือสิ่งที่เราเรียกกันว่าหินศิลานักปราชญ์ได้นั่นเอง

โดยหินศิลานักปราชญ์ที่เราได้พุดถึงกันตรงนี้ได้ถูกพูดถึงครั้งแรก เมื่อประมาณคริสตศักราชที่300 โดยได้มีนักเล่นแร่แปลงธาตุคนหนึ่งที่ได้มีชื่อว่าโซสิโมเขาได้เขียนบรรยายถึงสารดังกล่าวเอาไว้ในแบบที่เราได้อธิบายไปแต่ในตอนนั้นไม่มีใครเชื่อกันเลยว่าสะสารดังกล่าวนี้มันมีอยู่จริงเพราะมันไม่มีอะไรที่จะยื่นยันได้และไม่มีหลักฐานที่แน่นพอมีแต่คำพูดลอยๆและการจดบันทึกที่ไม่มีอะไรยื่นยันได้เลยว่าเป็นของจริงหรือว่าของปลอม

คนส่วนใหญ่ก็เลยไม่เชื่อว่าสิ่งๆนี้มันได้มีอยู่จริงและพอเวลาได้ผ่านไปเรื่อยๆเรื่องของศิลานักปราชญ์มันก็เริ่มเรือนรางหายไปจนมันได้มาถึงปีคริสตศักราชที่1620 เรื่องของศิลานักปราชญ์มันก็ได้กลับมาโด่งดังอีกครั้งหนึ่งจากนักดาราศาสตร์ที่ศึกษาในเรื่องของการเล่นแร่แปลงธาตุ

นอกจากนี้ยังได้มีการเขียนหนังสืออ้างอิงถึงบุคคลในประวัติศาสตร์โลกโบราณอย่างมนุษย์คนแรกที่ชื่อว่าอาดัม ซึ่งอาดัมนี่แหละคือบุคคลแรกของโลกที่ได้ถือศิลานักปราชญ์และได้รู้ว่าหินศิลานักปราชญ์นั้นมันได้มีองค์ประกอบอะไรบ้าง

 

สนับสนุนโดย  entaplay ดี ไหม

ดร.มาร์เซล เพททิออด คดีหมอสังหารในคฤหาสน์มรณะ

เหตุการณ์สงครามโลกถือได้ว่าเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยความเฮียมโหดและยังได้ถูกกล่าวขานถึงไปทั่วโลก ซึ่งบันทึกในประวัติศาสตร์แห่งความโหดร้ายนี้ก็ยังได้มีการบดบังเหตุการณ์อื่นๆที่มันได้เคยเกิดขึ้นมาในระยะเวลาเดียวกันจนมันแทบจะหมดความสำคัญยกเว้นเพียงแต่ว่าเรื่องราวนั้นมันจะมีความโดนเด่นหรือมีความร้ายแรงมากที่จะทำให้ผู้รู้สึกฝังจำ

ซึ่งหนึ่งในเหตุการณ์ที่มันได้เคยเกิดขึ้นนี้ในระหว่างช่วงของสงครามโลกที่ผู้คนที่ได้อยู่ทางยุโปรยังได้มีความจดจำกันได้ดีอยู่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังได้มีเรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่องระดับโลกคนหนึ่งนามว่า ดร.มาร์เซล เพททิออด ได้รวมอยู่ด้วยทั้งนี้ยังได้เคยมีคำกล่าวอีกว่าในช่วงของสงครามโลกครั้งที่2ความความพินาศย่อยยับที่มันได้เกิดขึ้นมาจากสงครามโลก

จึงทำให้ทุกฝ่ายได้มีผลเสียกับเสียและมันก็ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ให้แก่ผู้ใดเลยแต่ สำหรับ  ดร.มาร์เซล เพททิออด เขาอาจจะไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้เพราะสำหรับเขามันจะมีแต่คำว่าได้กับได้เท่านั้น ด้วยอำนาจมืดของพวกนาซีที่ได้บุกเข้ายึดพื้นที่ฝรั่งเศสพร้อมกับนโยบายกวาดร้างเผ่าพันธุ์เชื้อสายยิวจึงทำให้ผู้คนชาวยิวที่ได้รู้ข่าวจำเป็นจะต้องพากันอพยพหนีตาย

แต่ เนื่องด้วยหนทางที่จะหลบหนีเต็มไปด้วยยากเต็มทีเพราะไม่ว่าในพื้นที่ไหนๆก็จะมีแต่พวกตำรวจลับของนาซีได้กระจายตัวกันอยู่เต็มไปหมดแต่ทว่าความตายที่มันได้ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆก็ได้มีใครคนหึ่งก็ได้เสนอตัวขึ้นมาว่าจะยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขา ดร.มาร์เซล เพททิออด ได้เป็นนักแพทย์ที่อยู่ในกรุงปารีสก็ได้อาสาว่าจะช่วยให้ชาวยิวหลบหนีออกไปจากประเทศฝรั่งเศส

แต่เพราะทุกชีวิตนั้นมีค่าเขาจึงได้เรียกเก็บค่าบริการสำหรับให้ความช่วยเหลือด้วยราคาที่สูงมากๆ โดยเขาได้อ้างว่าหากผู้ขอลี้ภัยไม่ขอฉีดยากันโรคติดต่อร้ายแรงก็จะไม่ได้รับอนุญาติให้เดินทางเข้าสู่ประเทศปลายทาง สำหรับชาวยิวที่เสมือนว่ามีคมเขี้ยวมัจจุราชจ่ออยู่ที่ลำคอ เมื่อได้ทราบข่าวว่า ดร.มาร์เซล เพททิออด ได้เป็นทางเลือกเดียวของพวกเขามันก็ย่อมเป็นการง่ายที่จะต้องตัดสินใจเหล่าครอบครัวชาวยิวก็จะต้องยอมจ่ายทรัพย์มีค่าทุกอย่างเพื่อพาตนเองและครอบครัว

ได้หลบหนีออกไปจากประเทศฝรั่งเศสให้ได้โดยเร็วมากที่สุดหากแต่ว่าหลังจากที่พวกเขาได้นำเอาเงินค่าช่วยเหลือมาจ่ายให้แก่ ดร.มาร์เซล เพททิออดในคฤหาสน์รร้างที่เป้นจุดนับหมายชาวยิวเหล่านั้นก็ไม่เคยกลับออกมาจากคฤหาสน์ร้างอีกเลย

 

สนับสนุนโดย  next88 login

ตำนานยักษ์แห่งสโตนเฮนจ์ หรือ Giants of Stonehenge

          กองหินโบราณที่มีขนาดใหญ่โตมหึมาที่เรียงตัวกันเป็นโครงสร้าง เป็นก้อนกลมกลม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วโลกนั้นให้ความสนใจและในปัจจุบันนี้ก้อนหินเหล่านั้นได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างสนใจพากันเดินทางมาเที่ยวที่นี่กันเป็นจำนวนมาก แต่คุณเคยสงสัยกันไหมค่ะว่า ใครกันนะที่ได้นำเอาก้อนหินเหล่านั้นมาวางเรียงกันเป็นรูปร่างหน้าตาแบบนี้

และมาวางกองไว้ที่ตรงพื้นที่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งหลายคนนั้นได้มีการพูดถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้กันอย่างมากนั่นก็คือ สันนิฐานแรกนั้นเชื่อกันว่า ก้อนหินเหล่านี้อาจจะเกิดจากเหล่าเอเลี่ยนที่เดินทางมาที่โลกมนุษย์และได้ใช้วิวัฒนาการที่ล้ำหน้าเกินพวกมนุษย์ได้มาสร้างก้อนหินเหล่านี้เอาไว้ แต่ถ้าหากไม่ใช่เหล่าเอเลี่ยนแล้วละก็ ก็อาจจะเป็นยักษ์นี่ล่ะที่มาสร้างก้อนหินเหล่านี้เอาไว้ โดยมีการสร้างตำนานถึงก้อนหินสโตนเฮนจ์นี้เอาไว้ว่าในสมัยก่อนนั้นประเทศอังกฤษ

มักจะมีการต่อสู้กันบ่อยครั้งและได้มีผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก รวมถึงเหล่าขุนนางทั้งหลายด้วย กษัตรแอมบีโรเซียส ออรีเรียนัส จึงอยากที่จะสร้างอนุสรณ์สถานให้กับเหล่าผู้ล่วงลับ พ่อมดเมอร์รินจึงได้แนะนำให้กษัตรได้ทำการย้ายก้อนหินวิเศษเหล่านี้มาจากภูเขาคิวรารัสจากประเทศไอแลนด์มาแต่เนื่องจากก้อนหินเหล่านั้นมีแต่ก้อนที่มีขนาดใหญ่มาก

ทำให้ทหารไม่สามารถที่จะขนย้ายได้ ทางด้านพ่อมดเมอร์รินจึงได้มีการสั่งเหล่ายักษ์ทั้งหลายพากันช่วยกันขนก้อนหินเหล่านั้นมาตั้งไว้ที่เซลลิสเบรี่ จนกลายมาเป็นสโตนเฮนจ์  อย่างที่เราได้เห็นกันมาจนทุกวันนี้นั่นเอง  ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ได้กลายมาเป็นตำนานที่มีการพูดถึงกันมาอย่างยาวนาน เพราะหลายคนก็ยังคงมีความสงสัยกันมาว่าก้อนหินขนาดใหญ่เหล่านั้น

ทำไมถึงได้ไปว่าทับซ้อนกันแบบนั้นได้อย่างไร เพราะต่างก็ไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติอย่างแน่นอน เพราะด้วยลักษณะการจัดวางของก้อนหินการที่นำหินขนาดใหญ่ไปวางซ้อนด้านบนอีกชั้นนั้น เป็นสิ่งที่เชื่อได้ยากมากว่าจะเกิดจากธรรมชาติรังสรรค์มาให้เราได้เห็นกัน เพราะมันเหมือนกันการที่มีใครสักคนทำเสียมากกว่า

อย่างไรก็ตามเพราะไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่านี่คือฝีมือของมนุษย์ดังนั้น จึงมองกันว่านี่น่าจะเป็นฝีมือของยักษ์นั่นเองที่สามารถทำได้แบบนี้และเป็นยักษ์ที่มีรูปร่างสูงใหญ่เสียด้วยเพราะสามารถย้ายหินจากอีกประเทศหนึ่งเดินทางมาถึงยังอีกประเทศหนึ่งได้

 

สนับสนุนโดย  betbb

ตำนานต้นไม้ยักษ์ล้านปี ต้น โซโคตร้า ที่ประเทศเยเมน

           ในทวีปแอฟริกามีประเทศหนึ่งที่ชื่อว่าประเทศเยเมนสำหรับประเทศนี้เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กเป็นแค่เพียงเกาะเล็กๆเท่านั้นมีประชากรอาศัยอยู่เพียงไม่กี่ทันคนโดยเกาะแห่งนี้อยู่ในคาบมหาสมุทรอินเดียซึ่งเกาะแห่งนี้จะอยู่ใกล้กับประเทศโซมาเรียมากที่สุดโดยมีความห่างกันแค่เพียง 250 กิโลเมตรเท่านั้นโดยเมื่อปีคริสต์ศักราช 2008 ประมาณเดือนกรกฎาคมประเทศเยเมนนี้

ถูกจัดขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกและหมู่เกาะที่เป็นที่ตั้งของประเทศเยเมนนี้มีชื่อเรียกว่าโซโคตร้า นั่นเอง สำหรับที่นี่ใครๆต่างก็รู้กันดีว่ามีต้นไม้หายากและมีทรัพยากรทางธรรมชาติขึ้นอยู่เต็มเกาะไปหมดที่สำคัญที่นี่มีต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถหาได้ที่ไหนอีกแล้วจะขึ้นเฉพาะแค่ที่เกาะแห่งนี้ที่เดียวเท่านั้นนั่นก็คือต้นเลือดมังกรด้วยว่ากันว่าต้นไม้ชนิดนี้

มีสรรพคุณมากมายโดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องของการรักษาโรคโดยสามารถรักษาได้เกือบทุกโรคเลยทีเดียวอย่างไรก็ตามที่นี่นับว่าเป็นเกาะที่มีความเก่าแก่มีอายุมากกว่า 20 ล้านปีมาแล้วและแน่นอนมันย่อมต้องมีตำนานที่มีการพูดถึง ในตำนานมีการพูดถึงเทพเจ้าองค์หนึ่งที่พระองค์ต้องการสร้างโลกใหม่ขึ้นมาโดยพระองค์มีแนวความคิดอยากจะให้โลกนี้

มีความสวยงามและความแปลกตาพระองค์จึงได้มีการสร้างเกาะเล็กๆขึ้นมาเกาะหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ตรงบริเวณกลางทะเลอาหรับและพระองค์ก็ได้มีการเสกสัตว์ชนิดหนึ่งขึ้นมาซึ่งสัตว์ชนิดนั้นก็คือมังกรนั่นเองพระองค์พยายามที่จะสร้างสรรค์มังกรให้มีรูปร่างสวยงามแด่พระองค์ต้องการให้มังกรนั้นเป็นราชาที่สามารถควบคุมดูแลเกาะแห่งนี้นั่นเองพรุ่งนี้มีการแตกไอ้มังกรนั้น

มีความโหดร้ายและมีความแข็งแกร่งทรงพลังอย่างไรก็ตามเมื่อพระองค์ทรงเสกมังกรให้ดูแลเกาะแห่งนี้หลายพันปีต่อมาพระองค์ก็ได้มีการลงมาที่เกาะแห่งนี้เพื่อดูแลความสวยงามบนเกาะที่พระองค์ได้สร้างสรรค์ขึ้นแต่พระองค์กับไม่พบความสวยงามที่พระองค์ได้มีการเสกสรรค์เอาไว้เพราะว่าเจ้ามังกรที่พระองค์เสกเอาไว้นั้นมันกับกินทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์เสกเอาไว้ทั้งหมดทำให้เทพเจ้ารู้สึกโกรธมังกรตัวนี้เป็นอย่างมากและด้วยความโมโหพระเจ้าจึงได้มีการปราบมังกรตัวนั้น

ให้กลายเป็นต้นไม้ซึ่งต้นไม้ที่ถูกสาปถูกเรียกว่าดราก้อนทรี อย่างไรก็ตามหากใครเดินทางมาที่เกาะแห่งนี้ก็น่าจะเห็นต้นไม้ที่มีความแปลกประหลาดมีลักษณะเหมือนกับจานดาวเทียมโดยต้นไม้ชนิดนี้เราจะไม่สามารถเห็นจากที่ไหนได้จะมีที่เกาะ โซโครตร้าที่นี่ที่เดียวเท่านั้นและแน่นอนว่าด้วยความที่มังกรนั้นมีฤทธิ์เยอะเมื่อมันถูกสาปให้เป็นต้นไม้อิทธิฤทธิ์ของมังกรก็ยังคงมีอยู่ดังนั้นต้นไม้ชนิดนี้จึงสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้มากมายหลายโรคเลยทีเดียวและถ้าหากใคร ลองเอามีดกรีดบริเวณเปลือกไม้ก็จะทำให้มียางไหลออกมาหรือที่เราเรียกกันว่าเลือดมังกรนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  next88 mobile

ประเทศญี่ปุ่นไม่สามารถยึดประเทศจีนได้ทั้งหมด

ซึ่งเราอยากจะบอกตรงนี้เลยว่ามันน่าจะเป็นเรื่องของในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งประเทศจีนนั้นมีขนาดพื้นที่ที่ใหญ่กว่าประเทศยิ่งปุ่นอีกตั้งหลายเท่าและญี่ปุ่นก็จะต้องทำสงครามกับประเทศอเมริกาอีกแล้วทำไมทหารของประเทศญี่ปุ่นนั้นถึงเข้าทำการยึดประเทศจีนหรือมันอาจะเป็นเพราะว่าจำนวนของทหารของประเทศจีนนั้นได้มีกำลังอยู่น้อยและยังมีพื้นที่ที่น้อยอีกจึงทำให้ง่ายต่อการโจมตีและได้เข้ายึดครองแผ่นดินจีนและในช่วงไหนที่ประเทศญี่ปุ่น

สามารถเข้ายึดประเทศจีนได้ทั้งประเทศนอก ซึ่งตามที่เราได้ไปทำการศึกษาหาข้อมูลมาตรงนี้แล้วเราขอบอกเลยว่าไม่มี ไม่มีประเทศใดเป็นงูเหลือมกลืนช้างได้มีแต่จะเข้าโจมตีเอาทีละเล็กละน้อยและจะมีแต่เข้าบุกยึดทางฝั่งทางทะเลได้และทั้งนี้รัฐบาลจีนก็ได้หนีไปตั้งหลักประเทศเมืองหลวงอีกประเทศหนึ่งได้อีกด้วยอีกทั้งเรื่องของอาวุธประเทศจีนไม่มีความทันสมัยอะไรเลยจึงทำให้อาวุธของประเทศญี่ปุ่นได้มีความล้ำสมัยเป็นอย่างมทากคนเป็นแสนคนที่กำลังวิ่งถือดาบและอีกจำนวน5หมื่นคน

ที่วิ่งถือระเบิดนิวเคลียร์คุณลองคิดดูสิว่าเป็นคนจะชนะ ซึ่งประเทศญี่ปุ่นนั้นได้เข้าทำการยึดเพียงแค่หนึ่งในสามของประเทศจีนเท่านั้นบุกเข้ายึดแค่เพียงชายฝั่งตะวันออกและแทบมองโกเรียกับแมจูเรียในตะวันออกเพียงเท่านั้น ซึ่งญี่ปุ่นได้เข้าบุกประเทศจีนก็ได้เข้าแบบเดียวกันกับที่เยอรมันได้เข้าบุกโซเวียตทางฝ่ายรับปล่อยให้ฝ่ายบุกรุกให้ได้บุกเข้ามาก่อนเอาตามใจชอบจนในที่สุดพวกเขาก็ได้เข้ามาติดกับดักบนแผ่นดินที่กว้างใหญ่จากนั้นพวกก้ได้เริ่มใช้ความได้เปรียบในเรื่องของทรัพย์พยากรและปริมาณก็จะค่อยๆสร้างความได้เปรียบดันกลับไปเรื่อยๆ

จนถึงในที่สุดคุณภาพก็จะต้องแพ้ให้กับปริมาณเป็นที่สุดแต่ทั้งนี้เองประเทศญี่ปุ่นนั้นเขาก็ได้ทำการยึดเอามาได้แค่บางส่วนเพียงเท่านั้นญี่ปุ่นไม่สาารถกลืนไปทั้งหมดและผลที่ประเทศจีนได้โดนประเทศญี่ปุ่นบุกเข้ายึดได้โดยง่ายก็เพราะก่อนหน้านั้นประเทศจีนก็ได้ถูกโจมตีมาแล้วก่อนหน้านั้น ซึ่งประเทศจีนนั้นอาจจะมีปัญหาตรงที่ว่าแต่ก่อนนั้นประเทศจีนค่อนข้างปิดประเทศอีก

ทั้งยังมีการนิยมทำสงครามแบบโบราณอีกด้วยและส่วนประเทศญี่ปุ่นนั้นได้เป็นประเทศแรกในเอเซียที่ได้รับเอาวัฒนธรรมของชาวต่างชาติเข้ามาและได้มีการทำศึกสงครามแบบชาติตะวันตกเราก็คิดว่าที่ประเทศญี่ปุ่นได้เข้าไปยึดประเทศจีนได้ถึงแม้ว่ามันจะเป็นหนึ่งในสามส่วนก็ชั่งนั่นก็เป็นเพราะประเทศจีนได้มีอาวุธที่ล้าหลังและที่ญี่ปุ่นยึดได้แค่หนึ่งในสามส่วนในแค่ฝั่งตะวันออกของจีนคิดว่ามันน่าจะเป็นปัญหาเรื่องของเครื่องบินในการรบของสงครามโลกครั้งที่2นั้นหลายๆประเทศมีปัญหาเรื่องระยะการบินเรื่องน้ำมัน

 

สนับสนุนโดย  next88 slot

หลุมขยะนิวเคลียร์บนเกาะรูนิทและเมืองเซ็นเทรเลีย

เมืองเซ็นเทรเลีย

ในปี1962ที่เมืองเซ็นเทรเลีย ในรัฐเพนซิลเวเนียได้มีการทำความสะอาดเมืองด้วยการเผากำจัดขยะแต่ได้เป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างมากที่เลือกเผาในเหมือแร่เก่า ซึ่งนั่นเป็นการจุดชนวนชั้นถ่านหินที่อยู่ใต้ดินทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นไฟลุกไหม้อย่างรุนแรงจนไม่สามารถดับลงได้แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เพียงเท่านี้ เมื่อปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งได้บังเอิญพบบางอย่างที่น่าตกใจในอีก17ปีต่อมา

โดยได้พบว่าถังเก็บน้ำมันเบนซินที่อยู่ในชั้นใต้ดินนั้นมีอุณหภูมิสูงถึง77องศาเซลเซียส ในตอนนั้นใต้ดินได้เกิดเพลิงลุกไหม้กระจายไปทั่วเหมืองถ่านหินที่อยู่ลึกลงไป100เมตรและมีอุณหภูมิสูงถึง540องศาเซลเซียสมันจึงทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์และแก๊สพิษขึ้นในปริมาณสูง ซึ่งได้ถูกปล่อยขึ้นมาบนอากาศตามรอยแตกของพื้นดินหลายปีต่อมาแผ่นดินที่อยู่บนิเวณนั้น

เกิดทรุดตัวลงและเกิดเป็นหลุมลึกชาวบ้านหลายคนเกือบเอาชีวิตไม่รอดในเหตุการณ์นั้นจึงทำให้ชาวเมืองกว่า1,000ชีวิตที่ส่วนหนึ่งได้อพยพออกจากพื้นที่เพราะกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นแต่ในบางส่วนต้องจำใจที่จะต้องอพยพ เนื่องด้วยพื้นที่เมืองถูกเวนคืนโดยรัฐบาลในปี1992 ตึกรามบ้านช่องส่วนใหญ่ได้ทยายถูกรื้อถอนไปแต่ก็ยังคงมีชาวบ้านจำนวนกว่า10คนที่ยังคงอยู่ที่นี่ไม่ยอมอพยพไปไหนและยังได้กล่าวกันว่ายังคงมีไฟที่เต็มไปด้วยสารพิษอยู่ใต้เหมืองเซ็นเทรเลีย ซึ่งได้คาดการณ์ว่าจะเป็นเช่นนี้ไปถึงอีก250ปีเลยทีเดียว

เกาะรูนิท

สมัยในช่วงของสงครามเย็นสหรัฐได้มีการทดลองอาวุธนิวเคลียร์บนเกาะรูนิท ซึ่งได้เป็นส่วนหนึ่งของบริเวณที่เรียกว่า เอเนวีทาค อะทอลล์ ที่อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งแรงระเบิดนั้นได้มีความรุนแรงกว่าระเบิดทีเอนที30เมกะตัน โดยได้ถูกเรียกชื่อในรหัสว่า ไอวี่ไมค์  ซึ่งได้เป็นการทดลองระเบิดไฮโดรเจนลูกแรกส่งผลให้พื้นที่ของเกาะที่อยู่โดยได้ระเหยหายไป

และได้เกิดฝุ่นกัมมันตรังสีที่จะแพร่กระจายได้ไกลถึง35ไมล์ และด้วยแรงระเบิดอย่างมหาศาลนี้ จึงได้ทำให้เกิดการค้นพบธาตุขึ้นมาใหม่สองชนิดในบริเวณพื้นที่ของการระเบิดนั่นก็คือ ไอน์สไตเนียม และ เฟอร์เมียม ถึงแม้ว่าบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ของการทดลองนั้นจะมีผู้คนอาศัยอยู่ก็ตามแต่การกำจัดสารกัมมันตรังสีนั้นถูกเริ่มขึ้นในอีก2ทศวรรษให้หลัง โดยในปี1977ก็ได้มีการก่อสร้างโดมคอนกรีตขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อเป็นการปิดหลุมที่เกิดขึ้นมาจากการระเบิด โดยได้ใช้ดินกว่า85,000ลูกบาศก์เมตร

นำไปถมในหลุมจนเต็มจากนั้นจึงปิดปากหลุมด้วยแผ่นคอนกรีตที่มีขนาดใหญ่และกวาง106เมตรและหนา45ซม. โดยได้ใช้จำนวนกว่า300แผ่น ซึ่งได้ออกแบบมาให้สามารถป้องกันฝุ่นกันมัมตรังสีโดยเฉพาะหลังจากนั้นต่อมาเกาะรูนิทก็ได้ถูกทิ้งร้างเอาไว้แต่ถึงเช่นนั้นรอยแตกและรอยรั่วของโดมแห่งนี้ได้สร้างความวิตกกังวลไปทั่วแปซิฟิกเพราะเนื่องจากว่าได้มีการตรวจพบเจอสารกัมมันตรังสีที่ถูกปล่อยออกมาจากโดมแห่งนี้ได้ที่ประเทศจีน

 

สนับสนุนโดย  next88

สลัดอากาศอินโดนีเซีย บุกดอนเมืองประเทศไทย

เมื่อประมาณ40ที่ผ่านมาได้เคยมีเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งของเมืองไทย ได้เป็นครั้งที่ประเทศไทยยินยอมให้กองกำลังของต่างชาติได้เป็นหน่วย คอมมานโด ของประเทศอินโดนีเซีย ได้เข้ามาปฎิบัติการณ์ภายในแผ่นดินไทย ถ้าเรานับจากครั้งที่ได้เคยอนุญาติให้กองทัพเรืออังกฤษได้ให้ยกพลขึ้นบกที่ปาเป่านับเป็นครั้งแรกนี่ก็นับว่าได้เป็นครั้งที่สองที่เราจะต้องเสียอำนาจประชาธิปไตรชั่วคราว เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่การปฎิบัติการในครั้งนั้น เรื่องราวของอินโดนีเซีย  บุกยึดสนามบินดอนเมืองจะเป็นอย่างไรวันนี้เราจะมาเล่าให้ฟัง 

ช่วงเย็นของวันเสาร์ที่28มีนาคม2524เวลาประมาณ5โมงเย็นได้มีคำร้องขอจากเครื่องบินลำหนึ่ง ซึ่งได้เป็นเครื่องบินแบบดี-49ของสายการบินการูด้าเอลาย ซึ่งโดยปกติแล้วได้เป็นเที่ยวบินภายในประเทศของประเทศอินโดนีเซีย โดยได้แจ้งมาว่าได้มีผู้โดยสารราวประมาณ40คนพร้อมด้วยสลัดอากาศชาวอินโดนีเซียและอาวุธครบมือได้ขอลงจอดที่ดอนเมือง

โดยที่เครื่องบินลำนี้ถูกสลัดอากาศอินโดนีเซียที่ยึดเครื่องบินเอาไว้ได้ตั้งแต่ที่เครื่องบินออกมาจากสนามบินที่จาการ์ต้าได้ไม่นานจากนั้นก็ได้บังคับให้มาแวะเติมน้ำมันที่ปีนังก่อนจะบังคับให้บินมาลงจอดที่ดอนเมืองต้องย้อนรอยไปว่า เพราะอะไรสลัดอากาศกลุ่มนี้ถึงได้จี้เครื่องบินเหตุมันได้เกิดมาก่อนน่านี้ไม่นานไม่กี่วันได้มีกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งบุกเข้าโจมตีสถานีตำรวจที่ประเทศอินโดนีเซียแล้ว

ก็ได้มีบางส่วนได้ถูกเจ้าหน้าที่ยิงจนเสียชีวิตในขณะเดียวกันก็ได้มีการยิงเจ้าหน้าที่เสียชีวิตไปหลายคนและบางส่วนก็ถูกจับและในขณะที่บางส่วนก็สามารถหลับหนีออกมาได้และส่วนนี้นี่เอง ที่ได้กลายมาเป็นสลัดอากาศในอีกไม่กี่วันต่อมาพร้อมด้วยข้อเสนอที่ยื่นรียกร้องต่างรัฐบาลอินโดนีเซียว่า ให้ปล่อยตัวนักโทษทั้งหมดที่บุกเข้าไปโจมตีสถานีตำรวจพร้อมทั้งยังได้ขอเงินสดจำนวนเงิน30ล้านบาท เมื่อเรื่องราวมันได้เป็นมาแบบนี้เรื่องบินได้บินลงมาถึงดอนเมืองทางด้านรัฐบาลไทยก็ได้รีบแจ้งต่อรัฐบาลอินโดนีเซีย

ซึ่งในตอนนั้นทางอินโดนีเซียได้รับเรื่องจึงได้รีบบินมาที่ประเทศไทยอย่างทันทีพร้อมคณะฝ่ายไทยก็ได้มีพลเอกประจวบสุนทรางกูร รองนายกรัฐมนตรีเป็นฝ่ายต้านรับไปปักหลักนอนรออยู่ที่ดอนเมืองเพื่อเป็นผู้ประสานงานและหลังจากนั้นพลเอกประจวบสุนทรางกูรก็ได้เริ่มที่จะเจรจากับเหล่าสลัดอากาศเหล่านั้นแต่มันก็ไม่ได้เป็นผลอะไรเพราะว่าสลัดอากาศเหล่านี้ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงข้อเรียกร้อง

นอกจากนั้นยังได้มีการตั้งเงื่อนไขเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆรวมทั้งไม่ยอมปฎิบัติตามหลักมนุษยธรรมที่ขอให้ปล่อยเด็กสี่ขวบ ซึ่งมีอยู่คนหนึ่งที่อยู่บนเครื่องแต่สลัดอากาศไม่ยอมปล่อยตัวมาการเจรจาก็ยาวออกไปจริงๆแล้วเหล่าสลัดอากาศต้องการบังคับให้กัปตันบินต่อไปที่ประเทศอื่นอีก

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  เว็บพนัน ไฮโล

เหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่2

ยุคหลังของสงครามโลกครั้งที่1ได้เป็นยุคที่เผด็จการเฟื่องฟูหนักมากจากนั้นก็ยังเต็มไปด้วยโฆษณาชวนเชื่อต่างๆเพราะว่าฝั่งผู้แพ้แล้วก็ผู้ที่รู้สึกว่าตัวเองนั้นได้ถูกเอาเปรียบเขาจะรู้สึกสิ้นหวังมากชีวิตฉันนั้นมันคืออะไรรัฐบาลก็แก้ไขอะไรในชีวิตฉันไม่ได้เวลาที่ได้มีใครตั้งตัวเป็นฮีโร่ขึ้นมาทุกคนก็จะหันไปเชื่อพวกเขากันหมดเลย

หมือนอย่างในเยอรมันก้ได้มีผู้ชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า Adolf Hitlerก็ได้ตั้งตัวขึ้นมาแล้วก็ได้ตั้งโฆษณาชวนเชื่อต่างๆประมาณว่า เชื่อฉันอย่าไปหลงเชื่อใครฉันนี้แหละที่ห่วงใยรักแท้และแน่จริง เยอรมันจะต้องกลับมาเกรียงไกรในอีกครั้งหนึ่งพวกฝรั่งเศสที่เข้ามากดดันเรามันจะต้องพ่านแพ้ไปคิดว่าคนเยอรมันที่กำลังสิ้นหวังแบบสุดขีดมีคนมาสัญญาแบบนี้เห็นด้วยหรือไม่ เห็นด้วย

ดังนั้นคนก็ได้หันไปสนับสนุนAdolf Hitlerเยอะมาก ทางด้านฝั่งอิตาลีก็ไม่แพ้กันเลยก็ได้มีผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า Benito Mussoolini ขึ้นมาก็ได้เข้ามาโฆษณาชวนเชื่อเหมือนกันประมาณว่า  ชาวอิตาลี คุณคิดว่าจะได้รับดินแดนอันยิ่งใหญ่แล้วดูสิว่าการชนะสงครามการเข้าร่วมกับอังกฤษและฝรั่งเศสมันได้ให้อะไรแก่เรา

เราไม่ได้อะไรเลยสูญหายเลือดเนื้อไปต่างๆนานา ดังนั้นทางฝั่งอิตาลีก็เชื่อว่า ซึ่งในสถานการณ์ในโลกยุคนั้นก็เริ่มก็สงครามมาหลายคู่ในหลายๆจุดในโลกไม่ว่าจะเป็น อิตาลีที่กำลังจะเข้าไปยึดเอธิโอเปีย ญี่ปุ่นกับจีบที่ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่นที่ว่าจะพยายามเข้าไปยึดแมนจูเรียหรือรอบที่ญี่ปุ่นได้ประทะกับประเทศจีนโดนตรง

และส่วนเยอรมันที่ได้เข้าไปบุกรุกที่โปแลนด์เรียกได้ว่ามีสงครามเกิดขึ้นหลายจุดในโลกนั่นเองจำได้หรือไม่ว่าในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเราสามารถที่จะแบ่งได้อย่างชัดเจนมากว่า ฝั่งสัมพันธมิตร สู้ กับฝั่งมหาอำนาจกลางและยังมีใครเป็นสมาชิดบาง แต่ในรอบนี้ในสงครามโลกครั้งที่สอง จริงๆแล้วโลกของเรานั้นมันก็ได้แบ่งออกเป็นสองฝ่ายเหมือนกัน

ฝ่ายแรกก็คือฝ่ายสัมพันธมิตรเช่นเดิมและฝ่ายที่สองนั้นก็คือฝ่ายอักษะนั่นเอง แต่การที่จะแบ่งออกเป็นสองฝ่ายมันจะความงงอยู่นิดนึง โดยทั่วไปนักประวัติศาสตร์ชอบแบ่งกันให้ได้เข้าใจง่ายๆแบบฝั่งสัมพันธมิตรก็ได้มีสมาชิกหลักได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส โปแลนด์ และ สหภาพโซเวียต

ตอนนี้ในสงครามดลกครั้งที่หนึ่งรัฐเซียก้ได้มีการเปลี่ยนการปกครองต่างๆไม่ใช่จักรวรรดิรัฐเซียแล้วแต่กลายมาเป็นสหภาพโซเวียต ส่วนฝั่ง อักษะ ก็ประกอบไปด้วยสามประเทศด้วยกันก็คือ เยอรมัน อิตาลี และ ญี่ปุ่น แต่ที่นี่ที่ไม่สามารถแบ่งได้ เพราะว่าในสงครามโลกครั้งที่สองมันได้มีการย้ายฝั่งกันมากมันก็มีบางคนตอนแรกสนิดกับคนนั้นแต่คนนั้นทำให้ไม่พอใจก็เลยย้ายเข้ามาอยู่กับอีกฝั่งหนึ่ง

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน หวย

ประวัติการสร้างสะพานพระราม 8

           หากพูดถึงสะพานพระราม 8 คนกรุงเทพฯต้องรู้จักกันเป็นอย่างดีเนื่องจากสะพานแห่งนี้เป็นสะพานที่มีความสวยงามมากที่สุดในบรรดาสะพานอื่นๆภายในกรุงเทพฯโดยสะพานพระราม 8 นี้สร้างสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 โดยในการสร้างในครั้งนั้นสาเหตุที่มีการสร้างสะพานพระราม 8 ขึ้นมาก็เพราะว่ากรุงเทพฯมีปัญหาเรื่องของการจราจรหนาแน่น

และรถติดมากจนในที่สุดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ช่วยหาทางแก้ไขปัญหาด้วยการแนะนำให้มีการสร้างสะพานพระราม 8 ขึ้นเพื่อที่จะได้เป็นการระบายการจราจรที่มีการติดขัดแถวบริเวณฝั่งธนอย่างไรก็ตามสะพานพระราม 8 นี้เป็นการเชื่อมทางเดินข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาโดยเป็นการเชื่อมกันระหว่างทางฝั่งพระนครส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็คือฝั่งธนบุรีจุดบริเวณที่มีการมาสร้างเป็นสะพานพระราม 8 นั้นจะอยู่ใกล้กับโรงสุราบางยี่ขันรวมไปถึงตรงปลายถนน

วิสุทธิกษัตริย์และส่วนสาเหตุที่ถูกเรียกว่าสะพานพระราม 8 นั่นก็เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ต้องการสร้างสะพานอันนี้เพื่อเป็นการระลึกถึงรัชกาลที่ 8 นั่นก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลในช่วงแรกนั้นสะพานพระราม 8 สร้างกระแสให้ผู้คนนั้นเดินทางมาเยี่ยมชมกันเป็นอย่างมาก

เนื่องจากว่าเป็นสะพานที่มีการสร้างข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีพื้นที่ยาวและรูปลักษณ์ของการสร้างนั้นมีการใช้สลิงดึงเพื่อเป็นการดึงไม่ใช่สะพานพระราม 8 นั้นถล่ม สำหรับบริเวณสะพานพระราม 8 นั้นใต้สะพานก็จะมีร้านอาหารรวมถึงจะมีสวนสาธารณะอยู่ใกล้ๆบริเวณสะพานพระราม 8 ซึ่งทางกรุงเทพส่วนใหญ่ก็มักจะพากันมาออกกำลังกาย

หรือมานั่งชมวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่สำคัญถ้าช่วงไหนเป็นช่วงเทศกาลลอยกระทงแล้วก็ตรงบริเวณตีนสะพานพระราม 8 นี้เองจะมีประชาชนหนาแน่นมากที่จะพากันมาลอยกระทงที่บริเวณแห่งนี้และเพื่อเป็นการสร้างสีสันความสวยงามทางผู้ว่าราชการจังหวัดก็จะมีการนำไฟมาประดับตกแต่งตรงสะพานพระราม 8 ให้มีความสวยงามทำให้ประชาชนที่เห็นต่างก็รู้สึกประทับใจ

และอยากจะมาทำกิจกรรมแถวบริเวณสะพานพระราม 8 รวมถึงการถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกสะพานพระราม 8 นั้นนอกจากจะเป็นสะพานที่มีความสวยงามและเป็นสะพานที่เอื้อประโยชน์ให้รถนั้นได้วิ่งข้ามถนนได้อย่างรวดเร็วไม่ต้องไปอ้อมแต่อย่างไรก็ตามที่สะพานพระราม 8 นี้ก็มักจะมีคนมาใช้บริการแบบผิดๆนั้นก็คือมักจะขับรถมาที่บริเวณนี้แล้วเดินขึ้นไปที่ สะพานพระราม 8 เพื่อหวังกระโดดลงแม่น้ำฆ่าตัวตายซึ่งพบว่ามีหลายรายที่ทำเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม่นี่มีท่าเรือให้ผู้โดยสารที่สนใจนั่งเรือได้ขึ้นท่าที่นี่ด้วยนะคะ

 

สนับสนุนโดย  bk8

ประวัติกีฬาตะกร้อ

           หากพูดถึงกีฬาตะกร้อแล้วก็เรามักจะเห็นกีฬาชนิดนี้ในการนำไปแข่งขันพวกซีเกมส์เอเชียนเกมส์ซึ่งถ้าหากเป็นการเล่นตามหมู่บ้านหรือตามสถานที่ทั่วๆไปของชาวบ้านแล้วก็กีฬาประเภทตะกร้อนี้เราแทบจะไม่ได้เห็นกันแล้วก่อนหน้านี้เคยมีการนำกีฬาตะกร้อนี้มาใส่ในบทเรียนเพื่อให้นักเรียนนั้นได้มีการหัดเล่นกีฬาตะกร้อแต่ภายหลังกีฬาตะกร้อนี้ก็ถูกถอดออกจากบทเรียนเรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน

ส่วนประวัติของการเกิดกีฬาตะกร้อขึ้นมาของประเทศไทยเรานั้นคาดกันว่าน่าจะเกิดจากการเลียนแบบของการทำโทษนักโทษซึ่งในสมัยโบราณนั้นมีการทำโทษนักโทษในรูปแบบหนึ่งนั่นก็คือการที่จะนำนักโทษนั้นเข้าไปไว้ในห่วงซึ่งถูกศาลด้วยต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าหวายหลังจากที่นำหวายมาสานเป็นห่วงใหญ่ๆแล้วก็จะนำนักโทษเข้าไปไว้ข้างในนั้น

หลังจากนั้นก็นำมาโยงห้อยเอาไว้และให้ช้างเตะซึ่งเป็นการลงโทษของคนในสมัยโบราณนั่นเองและสิ่งที่สามารถยืนยันเกี่ยวกับเรื่องของประวัติกีฬาตะกร้อได้เป็นอย่างดีนั้นเราสามารถที่จะเข้าไปชมเกี่ยวกับเรื่องของหนังสือที่ถูกประพันธ์ขึ้นมาจากรัชกาลที่ 2 โดยประพันธ์เรื่องอิเหนาซึ่งในนั้นจะมีการระบุเกี่ยวกับเรื่องของการลงโทษนักโทษด้วย

การนำนักโทษไปให้ช้างเตะสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเชื่อได้ว่าประวัติกีฬาตะกร้อของเรานั้นมีมาอย่างยาวนานนั่นก็คือตัวตะกร้อนั้นจะมีการสานจากหวายหรือไม้ไผ่นั่นเองซึ่งในประเทศไทยของเรานั้นไม้ไผ่และหวายจะมีขึ้นเป็นจำนวนมากในป่าในเขาดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเป็นการละเล่นพื้นบ้านที่เรามักจะเห็นคนสมัยโบราณนั้นนำกีฬาชนิดนี้ออกมาเล่นและมาแข่งขันคันโดยการเตะตะกร้อนั้นจะมีการทั้งเตะตะกร้อแบบลอดห่วง   การเตะตะกร้อแบบชิงธง   หรือการแสดงการเตะตะกร้อด้วยลีลาต่างๆรวมถึงการเตะตะกร้อวงซึ่งเราจะเห็นมาก

            สำหรับขั้นตอนการเตะตะกร้อนั้นในช่วงแรกๆว่ากันว่าเป็นการเตะแค่ไม่ให้ลูกตะกร้อหล่นลงพื้นเท่านั้นก็จะเป็นการเตะส่งกันไปแต่ส่งกันมาแต่หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาออกมาโดยมีการพัฒนาเช่นนำมาห่วงไปร้อยไว้ด้านบนสูงๆแล้วให้นักกีฬานั้นเตะตะกร้อฐานห่วงนั้นส่งไปให้อีกฝั่งหนึ่งซึ่งเราเรียกกันว่าตะกร้อลอดห่วงหรือการที่นักกีฬานั้นเตะตะกร้อ

แล้วทำท่าทาง การเตะตะกร้อด้วยการใช้ข้อศอกหัวเข่าหรือแม้แต่หัวไหล่  หากใครทำท่าทางได้สวยงามมากว่าก็จะได้รับความชื่นชมหรือบางครั้งก็นำมาแข่งขันกัน สำหรับการเตะตะกร้อในประเทศไทยนั้น มีเล่นกันเกือบทุกจังหวัดเลยทีเดียว

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  bk8