ผู้เขียน: admin

ยุคของเรอเนซองส์เป็นอย่างไรกัน?

นอกจากนี้การที่จะขยายตัวของอารยธรรมของอิสลามก็เข้าไปสู่แอฟริกามีอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมากมายในแถบซาฮารานอกจากนี้ยังได้มีการค้าขายกับจีนอีกด้วยทางตะวันออกไปอีกคือจีน

ซึ่งก็เป็นเรื่องราวของเขาเองไปอีกทางหนึ่งใน1พันปีก็ได้มีราชวงศ์เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเรื่อยๆมีราชวงศ์ที่อยูปกครองถึง300ปีแล้วก็ได้มีช่วงที่แตกแยกวุ่นวายตามสไตล์จีนอย่างไรก็ตามจีนก็เป็นจีนไปความเจริญรุ่งเรืองสลับกับวุ่นวายตกต่ำและต่อสู้กับพวกชนเผ่านอกกำแพงอยู่ตลอดจนแพ้และได้ถูกมองโกลเข้าปกครองในช่วง ค.ศ.1200แล้วราชวงศ์มองโกลก็ได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้จีนเพิ่มขึ้นไปเราแค่อยากจะย้ำว่ายุคของเรอเนซองส์นี้แม้ว่าจะมีความสำคัญมากแต่ก็ไม่ใช่ทางทั้งหมดของประวัติศาสตร์โลกอีกอย่างหนึ่งก็คือความสพคัญของยุคเรอเนซองส์ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอย่างหนักในหมู่นักประวัติศาสตร์

เพราะว่าถ้าได้ศึกษากันลงไปแบบลึกๆจะพบว่าปรากฎการณ์เรอเนซองส์นี่ไม่ได้เกิดขึ้นที่อิตาลีเป็นที่แทรกเพราะว่ายังได้มีอีกหนึ่งสิ่งที่เรียกว่า คาโรลินเจียนเรอเนซองส์ในศตวรรษที่8 และ ออตโตเนียน เรอเนซองส์ ในศตวรรษที่11

นอกจากนี้ก่อนหน้าขอยุคเรอเนซองส์ที่เราได้เรียกยุคนั้นว่า “ยุคกลาง” คือช่วงเวลาประมาณศตวรรษที่5ถึงศตวรรษที่15เป็นยุคหลังจากที่อาณาจักรโรมัมนตะวันตก ได้ล่มสลายลง ระบบระเบียบการปกครองแบบอาณาจักรโรมันล่มสลายประชาชนไม่ได้รับการคุ้มครองจากจักรวรรดิอีกต่อไป

จึงจำเป็นที่จะต้องหันหน้าเข้าหาเหล้านักรบหรือว่าเจ้าขุนมูลนายเข้าสู่ยุคศักดินาเอาแรงงานเข้าแลกกับความคุ้มครองของมูลนายหรือว่าขุนนางศึกได้เกิดระบบทาสติดที่ดินที่ทำงานแลกความคุ้มครองไปจนตายคุณภาพชีวิตค่อนข้างแย่คริสตจักรมีอิทธิพลสูงและร่ำรวยมีการทำสงครามศาสนาคือสงครามครูเสดนั่นเอง

การศึกษาได้ถูกจำกัดอยู่เฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงและศาสนาจักรคนส่วนมากไม่รู้หนงสือศิลปะและวิทยาศาสตร์ปรัชญา แนวคิด สถาปัตยกรรมที่เคยเฟื่องฟูในยุคจักรวรรดิโรมันก็สูญหายไปหรือไม่ก็ถูกเก็บไว้ในโบสถ์และถูกลืมไปในที่สุด

เนื่องจากอำนาจที่ได้กำหนดชีวิตคนก็คือศาสนจักรความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวผิดจากนั้นถือว่านอกรีตมีความผิดทั้งหมดความศักดิ์ของศาสนาจักรคือที่สุดมนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้พระเจ้าผ่านทางศาสนจักรและมุ่งหวังชีวิตอมตะกับพระผู้เป็นเจ้าหลังความตาย

ซึ่งเรอเนซองส์จึงหมายถึงช่วงเวลาที่มีการรื้อฟื้นศิลปะและวิทยาการต่างๆกลับคืนมาก็คือการนำเอาองค์ความรู้ต่างๆในช่วงก่อนยุคกลางก็คือช่วงของที่อาณาจักรกรีกโบราณและโรมันรุ่งเรืองหรือยุคคลาสสิค

Johanna Van Gogh

แวนโก๊ะ เป็นบุคคลทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของศิลปะไปทั่วโลกหลังจากชีวิตของแวนโก๊ะแล้วนั้นมีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมายและหลังจากที่แวนโก๊ะเสียชีวิตไปแล้วในปี 1890  ด้วยอายุ 37 ปีและตอนนั้นผลงานทางด้านศิลปะที่แวนโก๊ะนั้นได้สร้างสรรค์ไว้ก่อนที่เขานั้นจะเสียชีวิตยังไม่ได้เป็นผลงานที่ได้รับความนิยมและยังไม่ได้โด่งดั่งเท่าในปัจจุบัน

แต่ในปัจจุบันนี้นั้นแวนโก๊ะถือว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงและโดงมากพูดได้ว่าถ้าหากพูดชื่อแวนโก๊ะแล้วนั้น น้อยคนมากที่จะไม่รู้จัก สิ่งที่ทำให้เรานั้นรู้จักแวนโก๊ะหรือคนทั้งโลกนั้นรู้จักแวนโก๊ะก็น่าจะเกิดมาจากสิ่งที่แวนโก๊ะนั้นได้สร้างสรรค์โดยการเล่าเรื่องราวของตนเองนั้นผ่านผลงานทางศิลปะที่เขานั้นได้สร้างสรรค์ไว้นั่นเอง

โดยผลงานในการสร้างสรรค์ต่างๆของแวนโก๊ะ ถือว่าเป็นผลงานที่มีความแปลกใหม่และแตกต่างจากผลงานศิลปะอื่นๆทั่วไปมีความน่าสนใจ เพราะโดยส่วนใหญ่งานที่มีการสร้างสรรค์จากฝีมือของแวนโก๊ะนั้น ผลงานล้วนเป็นสิ่งที่เขานั้นเอาความรู้สึกที่แท้จริงของเขาเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์และถ่ายทอดออกมา ต่อมาสิ่งที่แวนโก๊ะได้สร้างสรรคืและถ่ายทอดออกมานั้นจึงป็นสิ่งที่เป็นต้นทางของศิลปะรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า Expressionism และถือว่าผลงานของแวนโก๊ะนั้นเป็นผลงานที่มีความแข็งแรงและสามารถเป็นต้นแบบในด้านศิลปะให้กับใครหลายๆคนในวงการศิลปะได้ด้วย 

แต่ในอดีตนั้นรูปแบบการสร้างสรรค์ของแวนโก๊ะที่มีการสร้างสรรค์ออกาผ่านงานศิลปะนั้นยังไม่ได้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยม แต่เมื่อผลงานของเขานั้นได้รับการรู้จักและชื่นชมจากผู้คนมากขึ้น ก็ทำให้ผลงานของเขานั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากจะชื่นชมและดู และถือว่าผลงานของแวนโก๊ะนั้นเป็นสิ่งที่สามารถสร้างมูลค่าได้อย่างมากมายเลยทีเดียว

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากมิวเซียมใดบนโลกนี้มีผลงานที่แสนโก๊ะนั้นได้สร้างสรรค์ไว้ในมิวเซียม มิวเซียมนั้นก็จะได้รับความนิยมในการเข้าชมอย่างมาก เพราะทุกคนก็อยากที่จะดูและได้ชื่นชมผลงานของแวนโก๊ะนั่นเอง และเมื่อมีคนต่างก็ไปชื่นชมผลงานในมิวเซียมต่างๆนั้นก็จพทำห้มิวเซียมสามารถขายของชำร่วยหรือของที่เป็นที่ระลึกเกี่ยวกับแวนกะได้จำนวนมาก

ดังนั้นแล้วถึงแม้ผลงานของแวนโก๊ะที่แวนโก๊ะได้สร้างสรรค์ไว้นั้น จะมีมูลค่าสูงมากและเป็นงานศิลปะที่สามารถหาซื้อได้ยาก ก้เป็นสิ่งที่ถือว่าคุ้มค่าในการลงทุนของมิวเซียมหรือนิทรรศการที่มีการโชว์ผลงานในการสร้างสรรค์ของแวนโก๊ะนั่นเอง

ถึงแม้ว่าในขณะที่แวนโก๊ะยังมีชีวิตอยู่นั้นสิ่งที่เขานั้นตั้งใจสร้างสรรค์จะไม่ได้รับการเหลียวแลแต่เมื่อเขานั้นเสียชีวิตไปแล้วก็ทำให้เกิดการขุดคุ้นเรื่องของเขาและทำให้ผลงานที่เขาสร้างสรรค์มาทั้งชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมขึ้นมา นั่นหมายถึงว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่แนโก๊ะตั้งใจและสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อให้คนทั้งโลกได้สัมผัสกับศิลปะในรูปแบบใหม่ๆนั่นเอง จนแวนโก๊ะนั้นกลายเป็นตำนานแห่งศิลปะมาจนถึงปัจจุบัน

 

 

สนับสนุนโดย  bk8

นายปรีดี พนมยงค์ ถึงไม่มีอยู่ในชื่อประวัติศาสตร์

หลังการลี้ภัยการเมืองไปยังต่างประเทศเกือบครึ่งชีวิต พฤษภาคม 2529 ปรีดี พนมยงค์ มีโอกาศกลับสู่แผ่นดินเกิดเป็นครั้งแรก

แม้เมื่อได้สิ้นชีวิตไปแล้วแต่สถานะและบทบาทของรัฐบุรุษอาวุโสผู้นี้ยังเป็นที่ถกเถียงระหว่างกลุ่มต่างๆในสังคมไทยบ้างก็เห็นว่าเขาคือผู้ก่อประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่แก่ประเทศชาติทั้งเป็นกำลังหลักของคณะราษฎรผู้เสี่ยงชีวิตเพื่อแลกระบอบประชาธิปไตยเมื่อปี2475คิดเค้าโครงเศรษฐกิจที่มีเป้าหมายเพื่อคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริงและเป็นผู้นำกระบวนการเสรีไทยช่วยประเทศไทยให้พ้นสถานะผู้แพ้ในมหาสงครามโลกครั้งที่2

แต่ทว่าอีกกลุ่มกลับเชื่อว่าบุรุษผู้นี้มุ่งร้ายต่อประเทศนิยมลิทธิคอมมิวนิสต์และที่สำคัญได้อยู่เบี้องหลังเหตุการณ์สวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่8

เหตุใดที่ ปรีดี พนมยงค์ จึงได้เป็นชื่อที่หลายคนเคารพเทิดทูนขณะที่หลายคนชิงชังรังเกียจเหตุใดเหตุการณ์สำคัญของชาติที่เข้าได้เข้าไปเกี่ยวข้องจึงแทบไม่ไปปรากฏในหลักสูตรการศึกษาเหตุใดหลายคนจึงต้องการลบชื่อนี้ออกจากประวัติศาสตร์และเหตุใดเขาจึงกลายไปเป็นบุคคลที่รัฐบาลแทบทุกยุคสมัยพยายามที่จะลืมมันโดยตลอด

กล่าวได้ว่าโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญยิ่งอีกครั้งหนึ่งนับตั้งแต่พุทธศักราช2400เปนต้นมา

ระบบเศรษฐกิจแบบเก่าถูกโค้นล้มการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบระบบเศรษฐกิจทั้งทุนนิยมและสังคมนิยมคือพลังใหม่ที่เติบโตขึ้นทดแทนอย่างรวดเร็วคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ

ทว่าพลังอันแข็งแกร่งของมันค่อยๆกวาดกลืนโลกเก่าไปตามกฎธรรมชาติไม่เว้นแม้แต่สยามประเทศที่เคยสุขสงบมาเนินนานกิจกรรมทางวัฒนธรรมภายในวงศ์เจ้านายชั้นสูงดำเนินไปอย่างคึกคักนับตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าวงศ์เจ้านายชั้นสูงจำนวนมากต่างก็มีกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนเช่นการเล่นโขนนครหรือการสะสมของเก่า

เมื่อวงศ์เหล่านี้นิยมกิจกรรมชนิดใดเจ้านายชั้นล่างก็จะดำเนินตามอย่างคึกคักลิทธิล่าอาณานิคมที่ได้แผ่อิทธิพลมาถึงทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเริ่มปฏิรูปสยาม

โดยรวบอำนาจที่เคยอยู่ในมือขุนนางและเจ้าเมืองเข้าสู่ส่วนกลางส่งผลทำให้เวลากว่า40ปีนับจากพุทธศักราช2435เป็นช่วงที่อำนาจถูกปกครองรวมศูนย์เข้าสู่ราชสํานักส่วนกลางมากที่สุดในประวัติศาสตร์สยามในการนี้กลไกลที่ราชสำนักใช้สะกดขุนนางข้าราชการอย่างได้ผลคือการเน้นความสำคัฐของชาติกำเนิดและความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์

กระทั่งกล่าวได้ว่าวงศ์เจ้านายในกรุงเทพมหานครคือศูนย์กลางทั้งทางเศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมของบ้านเมืองในยุคนั้น

สถิติหนี้สินของเกษตรกรสยามซึ่งได้สำรวจเมื่อปี2473ถึง2474นี้สะท้อนความขัดสนของเกษตรกรได้เป็นอย่างดีนอกจากภัยธรรมชาติและโจรผู้ร้ายที่มีอย่างชุกซุมแล้วภาษีอากรรูปแบบต่างๆแรงทั้งบังคับเกณฑ์แรงงานนับว่าเป็นมูลเหตุที่สำคัญแห่งความขัดสน

 

สนับสนุนโดย  ทาง เข้า dewabet

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำสมัยในหลวงรัชกาลที่7ปี1925

ซึ่งในยุคสยามนั้นเมื่อต้องพึ่งตนเองและไม่มีสวัสดิการใดๆถ้าเศรษฐกิจไม่ดีราคาพืชตกต่ำ หรือ โดนภัยธรรมชาติเล่นงานสิ่งที่ทำได้ก็มีแค่ต้องพยายามอดออมมากขึ้นหางานอื่นทำไปด้วยชาวนานที่เดือดร้อนส่วนใหญ่จะต้องนำเอาลูกหลานไปฝากเป็นแรงงานตามบ้านคนรวย

เพื่อขอกู้เงินมาทำนาหรือไม่อย่างนั้นก็กลายเป็นอาชญากรไปเลยนี่แหละชีวิตที่ต่อรองอะไรกับใครไม่ได้อยากเปลี่ยนแปลงจะต้องถวายฎีกาเท่านั้น

ฎีกาส่วนใหญ่ที่ปรากฏก็จะเป็นเรื่องไม่มีที่ดินทำกินและที่มากที่สุดก็คือการขอลดหย่อนอากรค่านาประโยคสุดฮิตก็คือ การเรียกพวกเจ้าของที่ดินว่าเป็นผู้ทำนาบนหลังคนหลายฎีกาที่เขียนแสดงให้เห็นว่าสมัยนั้นก็มีปัญญาชนท้องถิ่นได้เขียนเพื่อช่วยหาทางออก เช่น อยากให้มีกองทุนกู้ยืมไปทำนา ขอให้ปรับปรุงชลประทานขอให้หาทางขายข้าวต่างประเทศเพิ่มอีกจะได้ราคาข้างดีๆบางคนก็ไปไกลถึงขั้นชี้แจงว่ารัฐต้องซื้อข้าวชาวนาทั้งหมด

เพื่อเป็นการรับประกันให้ชาวนามีเงินทุนหมุนเวียนคิดไปคิดมาแล้วก็เหมือนคุ้นๆกับในสมัยนี้เราก็คงจะเรียกว่าประกันราคาข้าวหรือจำนำข้างแน่ๆเลย

ถ้ารัฐไม่มีเงินบางคนก็บอกให้ออกใบบอนด์แบบเปลี่ยนมือผู้ถือได้ที่ทุกวันนี้เรียกว่าหุ้นกู้ก็คือต้องการให้รัฐนั้นกู้เงินจากราษฎรและจ่ายดอกเบี้ยให้ถือว่าก้าวหน้ามากๆ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการขอให้แทรกแซงตลาด

ซึ่งผู้ปกครองสยามมองมุมเศรษญกิจแบบเสรีมากกว่าเมื่อต้องการขัดกันเสียงเรียกร้องเหล่านี้ก็ถูกเก็บเข้าลิ้นชักไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์เฉยๆ

ในหลวงรัชกาลที่7ทรงขึ้นครองราชย์ก่อนภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกเพียงไม่กี่ปี ทรงขึ้นครองราชย์ในปี1925The Great Depression เริ่มต้นประมาณปี1929 พระองค์ตระหนักในวิกฤตเศรษฐกิจโลกและความเดือนร้อนของประชาชนทรงลดภาษีอากรนาถึง20%เป็นเวลาหนึ่งปีและเปลี่ยนไปขึ้นภาษีที่เก็บจากชนชั้นกลางแทน เช่น ภาษีรายได้ภาษีจากเงินเดือดหรือค่าจ้างเก็บภาษีบ้านภาษีที่ดินแต่ผู้ที่มีรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เป็นเจ้าของธุรกิจการค้ากลับได้ผลกระทบน้อยสุด คนชั้นสูง เจ้านาย ขุนนาง พ่อค้าชาวต่างชาติกลับได้รับผลกระทบน้อย

ผลกระทบที่เป็นโดมิโนกลับไปโดนชนชั้นกลางอาชีพราชการที่เคยมั่นคงก็ไม่มั่งคงเพราะเริ่มมีการปรับลดข้าราชการชั้นกลางและล่างมากขึ้นการที่รัฐบาลในตอนนั้นพยายามปรับดุลการคลัง

โดยลดรายได้ของข้าราชการลงนี้ถือเป็นเรื่องที่ใหญ่มากถึงขั้นที่ว่า พระองค์เจ้าบวรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหมทรงลาออกจากตำแหน่งในช่วงกลางปี พ.ศ.2474

ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนสาเหตุเป็นเพราะท่านรู้สึกเสียหน้าที่ไม่สามารถเลื่อนขั้นและขึ้นเงินเดือนให้นายทหารจำนวน90นายได้ความขัดแย้งนี้ทำให้พระองค์เจ้าบวรเดช ถึงกับถูกเพ่งเล็งว่าจะตัดสินใจอะไรที่เป็นภัยกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เลยหรือไม่

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  nowbet

ศิลปะบำบัด

สำหรับคำว่าศิลปะนั้นถือได้ว่าอยู่คู่กับเรามาอย่างยาวนาน และนอกจากนั้นยังมีองค์ประกอบที่เป็นต้นกำเนิดอยู่ 2 อย่างด้วยกัน ได้แก่ จุดและเส้น โดยสมัยโบราณนั้นจะเห็นได้ว่าตามผนังในถ้ำจะมีการขีดเขียนเป็นรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป้นเรื่องราวหรือสัตว์ก็ตาม

โดยส่วนใหญ่ก้จะเห็นเป็นแนวการบูชาหรือเรื่องราวๆต่างๆเต็มไปหมด ดังนั้นจะเห็นได้วิ่ลปะในยุคนั้นมันจะเป็นสิ่งทีมาพร้อมกับธรรมชาติของเรานี่เอง และนอกจากนั้นเรื่องราวเหล่านี้ก็จะมาคู่กับเราตั้งแต่เกิดจนสิ้นอายุไขของเรา

แต่อันที่จริงแล้วก็น่าเสียดายอยู่นะ ที่ในปัจจุบันการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่นี้ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องของศิลปะสักเท่าไหร่ เพราะว่าเราล้วนใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นการวุ่นวาย โดยในแต่ละวันก็จะหมดไปกับการทำการทำงานต่างๆ โดยที่ไม่ได้สนใจศิลปะหรือแม้แต่ธรรมชาติกันเลย

มีคำหนึ่งคำที่ได้พูดเอาไว้ว่า ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ ศาสนา หรือแม้แต่ธรรมชาติก็ตาม ทุกอย่างที่เอ่ยมานั้นล้วนแล้วแต่สำคัญ หรือมันแทบจะกลมกลืนเป็นสิ่งเดียวกันเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงทำให้เกิดแนวคิดที่จะนำมาเป็นการบำบัดนั่นเอง

สำหรับศิลปะบำบัดนั้นไม่ค่อยนิยมกับคนไทยของเราเท่าไหร่นัก ซึ่งทางแทบของยุโรปอย่างเช่นชาวเยอรมันนั้นนิยมและได้ใช้มายาวนานนับร้อยปีเลยแหละ แต่คนไทยก็ได้เริ่มนำมาใช้สักระยะหนึ่งแต่ก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลายเท่านั้น

หากอยากทราบว่าทำไมเราถึงจะต้องการศิลปะเราอาจจะตอบคุณได้ไม่หมด เพราะเรื่องราวมันค่อนข้างที่จะซับซ้อน แต่เชื่อเถอะว่าความรู้สึกนึกคิดภายในจิตใจของเรานั้นมันต้องการการรับฟังนั่นก็คือการบำบัดนี่เอง ศิลปะในการบำบัดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ร่างกายของคนเรานั้นต้องการมาก เพราะมันค่อนข้างที่จะดีต่อใจของคนเรา

สำหรับการสร้างสรรชิ้นงานศิลปะก็ถือได้ว่าเป็นการบำบัดเราอย่างหนึ่ง โดยเป็นการช่วยสร้างให้เรามีจิตที่นิ่ง และมีสติมากยิ่งขึ้น โดยให้เราจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้สมาธินั้นเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลากเลส้นต่อจุด หรือแม้แต่การปั้นดินก็ตาม ในการทำศิลปะในการปั้นดินนั้นจะใช้สมาธิเป็นอย่างมาก

ดังนั้นหากไม่มีสมาธิหรือจิตใจที่ว้าวุ่นอยู่มันก็จะกล้าเป็นการทำออกมาได้ไม่ดี หรือไม่สวยนั่นเอง สำหรับการทำสมาธิเหล่านั้นส่งผลให้ภาในของเราดีขึ้นไปตามๆกัน ไม่ว่าคุณจะหัดด้านไหนของศิลปะเชื่อเถอะว่ามันเป็นการส่งผลดีอย่างแน่นอน เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนที่จะส่งเสริมให้จิตใจลอารมณ์ของคุณดีขึนตามลำดับอย่างแน่นอน

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  dewabet

ผลงานการออกแบบ

ผลงานการออกแบบหรือว่า Art Nouveau เป็นผลงานทางด้านศิลปะอย่างหนึ่งเช่นกัน ดดยงานประเภทนี้นั้นจะเน้นเป็นการใช้เส้นโค้งในการสร้างสรรค์ผลงานจะไม่ค่อยใช้เส้นตรงในการสร้างสรรค์เหมือนผลงานทั่วไป โดยการออกแบบนี้นั้นมีการนำสิ่งต่างๆที่มีลักษณะเป็นสิ่งที่ไม่ตรงหรือมีลักษณะโค้งงอ มาใช้และดัดแปลงในการสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาสักหนึ่งชิ้นนั่นเอง Art Nouveau นั้น

ถือเป็นการสร้างสรรค์ทางด้านศิลปะที่มีความน่าสนใจอย่างมาก เพราะโยมตัวไปที่เรามักจะเห็นศิลปะต่างๆนั้นก็ทักจะใช้เส้นตรงโดยส่วนใหญ่ในการวาด ออกแบบ ทำฝานงานประเภทนี้มีลักษณะที่ดดดเด่นและเห็นได้ชัดว่าเป็นงานในลักษณะของ Art Nouveau นั่นเอง

การสร้างสร้างผลงานประเภทนี้นั้นก็จะมีการหยิบยกสิ่งต่างรอบตัวนั้นมาใช้และดัดแปลงให้เกิดเป็นผลงานทางด้านศิลปะได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เถาวัล การใช้ดอกไม้ โดยส่วนใหญ่ผลงานประเภทที่เป็น Art Nouveau นั้นจะมีการออกแบบที่เน้นไปในทางธรรมชาติ และมีการใช้สิ่งต่างๆที่ไม่ใช้สิ่งที่มีลัการะเส้นตรต่างๆนั้นมาใช้ในการประดับและตกแต่งภาพให้เกิดความสวยงามและเป็นผลงานที่มีความแปลกใหม่ขึ้นไปด้วยนอกจากนั้นความแปลกใหม่เหล่านี้ก็จะแฝงไปด้วยเสน่ห์ของภาพทำให้ภาพจากภาพธรรมดาๆนั้นเป็นภาพที่น่าหลงไหลได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

สำหรับศิลปินที่มีการสร้งสรรค์ผลงานในลักษณะนี้ก็ได้แก่ klimt ศิลปินคนนี้นั้นจะมีการวาดและสร้างสรรค์ผลงานออกมาในลักษระที่เป็นผู้หยิงโดยส่วนใหญ่เพราะเขานั้นมีความหลงไหลในความสวยงามในการสร้างสรรค์ผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและเขาก็คิดว่าการที่ผู้หญิงนั้นถูกสร้างสรรค์ให้เป็นงานศิลปะประเภท Art Nouveau นั้นจะมีความสวยงามและลงตัวมากกว่าผู้ชาย แต่ก็ไม่ได้บิกว่างานประเภทนี้

มีการสร้างสรรคืได้เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น แต่การสร้างสรรค์ของ klimt นั้นเป็นเพียงความชอบส่วนบุคคลเท่านั้น และผู้หญิงส่วนใหย่ที่เขานั้นได้สร้างสรรค์และออกมาเป็นผลานที่สำคัญของเขานั้นก็คือการสร้างสรรค์ภาพวาดที่เป็นผู้หญิงและมีการแต่งกายในลักษณะที่หรูหรา ผลงานที่โดดเด่นของ klimt ก็คือ 

Adele bloch-bauer I เป็นผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในการสร้างสรรค์อย่างมาก โดยในภาพวาดนั้นเป็นรูปผู้หญิงที่มีการสวมสุดโดยชุดนั้นมีลักษณะที่สวยงามและหรูหราอย่างมาก แต่ภาพนี้นั้นไม่ได้โดดเด่นแค่เพียงชุดที่ผู้หญิงในภาพสวมใส่เท่านั้น ฉากหลังที่มีการจัดฉากด้วยการออกแบบย่าสวยงาม โดยละเอียดในการวาดภาพของเขานั้นถือว่ามีรายละเอียดที่หลากหลายมากมายทีเดียว

เพราะมีการรายละเอียดที่เป็นคล้ายกับแบล็คกราวลงไปโดยจะเน้นเป็นการใช้เส้นที่ไม่ใช่เส้นตรงในการสร้างสรรค์นั่นเอง ก็ถือว่าเป็นผลงานที่มีความสวยงามและมีความลงตัวในระดับหนึ่งแต่ต้องขอชื่นชม klimt ในการสร้างสรรคือย่างมาก เพราะนอกจากจะมีการออกแบบที่น่าสนใจแล้วรายละเอียดที่เขานั้นสร้างก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ภาพนี้นั้นมีความสมูรณ์แบบมากเลยทีเดียว

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  เล่นหวยลาวยังไงให้ถูก

ตำนานคำสาปแช่งของนางสุชาดา

        สำหรับเรื่องราวการสาปแช่งของนางสุชาดานั้นเกิดขึ้นมีผลเกี่ยวพันกับเรื่องของทางพระพุทธศาสนาด้วยโดยตำนานเล่าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่เมืองลำปางซึ่งตำนานเรื่องของการสาปแช่งของนางสุชาดาเกิดขึ้นเพราะว่าในสมัยโบราณนั้นนางสุชาดาเป็นผู้หญิงรูปงามเธอนั้นเป็นหญิงสาวที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดและมักจะทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอซึ่งในช่วงของสมัยของนางสุชาดานั้นมี พระมหาเถรเจ้ารูปหนึ่งมีความต้องการที่อยากจะสร้างพระพุทธรูปด้วยความตั้งใจของพระมหาเถระชาตินั้นจะได้ไม้แก่นกันมาสร้างเป็นพระพุทธรูปแต่หาเท่าไหร่ก็ไม่สามารถหาไม้แก่นจันทร์มาทำเป็นพระพุทธรูปได้ความเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของพระยานาค

ซึ่งพญานาคตนนี้นั้นเริ่มใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาด้วยเช่นกันดังนั้นเมื่อเห็นว่านางสุชาดานั้นเป็นหญิงสาวที่ทำบุญทำทานจึงได้มีการนำแก้วมรกตซึ่งปลูกอยู่ในสวนหลังบ้านของนางสุชาดาเนื่องจากว่าพญานาครู้ดีว่านางสุชาดาจะต้องนำแตงโมนั้นไปถวายให้กับพระเถระเจ้าเป็นประจำอยู่แล้ว

ดังนั้นเมื่อนางสุชาดาไปเก็บแตงโมที่หลังบ้านมาเมื่อผ่านก็พบว่าข้างในนั้นมีแก้วมรกตอยู่ด้านในนางสุชาดาจึงได้นำแก้วมรกตนี้ไปถวายแด่พระเถระเจ้าเพื่อหวังที่จะให้พระเถระเจ้านั้นนำแก้วมรกตนี้มาสร้างเป็นพระพุทธรูป เมื่อใดแก้วมรกตมาแล้วก็ไม่มีช่างคนไหนที่จะสามารถนำแก้วมรกตมาสลักเป็นพระพุทธรูปได้เนื่องจากว่าแก้วมรกตนั้นแข็งแรงมากเทวดาจึงได้แปลงกายมาเป็นช่างเพื่อแกะสลักเป็นพระพุทธรูปแก้วมรกตให้   อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวนั้นรู้ไปถึงหูของเจ้าเมืองลำปางซึ่งพระองค์โกรธมากที่นางสุชาดาไม่นำแก้วมรกตมาถวายพระองค์แต่กลับนำไปถวายพระเถระเจ้า

โดยพระองค์ว่าพระองค์นั้นยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองลำปางดังนั้นสิ่งของมีค่าจึงต้องส่งมาถึงพระองค์ก่อน เรื่องนี้ทำให้เจ้าเมืองลำปางนั้นตัดสินใจที่จะใส่ร้ายนางสุชาดาโดยระบุว่านางสุชาดานั้นมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับพระมหาเถระเจ้าและ จับทั้งนางสุชาดาและพระมหาเถระเจ้านั้นเพื่อจะมาประหารชีวิต นางสุชาดานั้นด้วยตนเองไม่ได้ผิดเธอจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าหากมีการประหารชีวิตเธอนั้นและเธอไม่ได้ผิดขอให้เลือดของเธอไม่ตกลงที่พื้นแต่กลับพุ่งขึ้นไปบนฟ้าแทนและขอให้เลือกของเธอนั้นเป็นสีขาวบริสุทธิ์เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเธอนั้นบริสุทธิ์และเธอถูกใส่ร้ายอย่างไรก็ตาม

เมื่อเธอถูกประหารชีวิตปรากฏว่าคำอธิษฐานของเธอนั้นเป็นจริงทำให้ชาวบ้านที่มายืนดูการประหารชีวิตของเธอนั้นต่างก็รู้ว่าเธอนั้นถูกใส่ร้ายจึงเป็นเหตุให้พระมหาเถระเจ้านั้นถูกปล่อยตัวและไม่ถูกประหารชีวิตอย่างไรก็ตามก่อนที่นางสุชาดาจะสิ้นใจนั้นเธอได้มีการสาปแช่งเจ้าเมืองลำปางเอาไว้โดยคำสาปแช่งของเธอนั้นระบุเอาไว้ว่าขอให้ลูกหลานที่สืบราชบัลลังก์ต่อจากเจ้าเมืองลำปางทุกคน บริหารบ้านเมืองไม่เจริญรุ่งเรืองแต่ถ้าหากอยากจะแก้คำสาปแช่งก็ขอให้ลูกหลานคนใดคนหนึ่งมีความเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของเธอและนำลูกขนุนที่ปลูกเองไปทำบุญให้กับเธอหลังจากนั้นคำสาปแช่งก็จะหายไป

ซึ่งการต่อมาอีกหลายชั่วอายุคนมีพระสงฆ์องค์หนึ่งซึ่งว่ากันว่าเป็นสายเลือดที่สืบต่อมาจากเจ้าเมืองลำปางท่านได้มีการปลูกต้นขนุนและนำรูปขนุนนั้นไปทำบุญถวายแด่พระนางสุชาดาหลังจากนั้นคำสาปของพระนางนั้นก็หายไปทำให้ลำปางในปัจจุบันนั้นกลายมาเป็นจังหวัดที่มีความยิ่งใหญ่อีกครั้งซึ่งพระสงฆ์รูปนั้นที่เป็นคนแก้คำสาปว่ากันว่าคือหลวงปู่เกษมนั่นเอง

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  รวมเว็บหวยออนไลน์

ประวัติหงส์สีทองที่วัดห้วยลึก

สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับหงส์ที่วัดห้วยลึกนี่ได้มีประวัติเล่าต่อกันมายาวนาน ซึ่งประวัติหงส์ตัวนี้มันเคยมีโซ่ ล่ามเอาไว้ที่ขามันด้วย มีความเชื่อกันว่าเหตุผลที่จะต้องล่านโซหงส์ตัวนี้นั่นก็คือ ในสมัยอดีตชาวบ้านก็ได้พบว่าหงส์ตัวนี้มันได้หายไปและมันก็ได้กลับมาอีกทีพร้อมกับรอยเลือดที่ได้ติดกลับมาอยู่ที่บริเวณปากของมัน 

เมื่อหลวงพ่อได้เห็นหงส์ตัวนี้ได้หลุมออกไปและได้กลับมาพร้อมกับคาบเลือดที่ปากจากนั้นจึงได้มีการล่ามโซเอไว้เพื่อที่จะไม่ให้มันหนีไปไหนบ้างก็ว่าเหตุผลที่จะต้องล่ามโซหงส์ตัวนี้เพราะ เนื่องจากว่าในอดีตหงส์ตัวนี้นั้นมันสามารถที่จะบินได้และจึงได้ทำให้ชาวบ้านเกิดประสบอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้งและถ้าหากว่าหงส์ตัวนี้มันได้หลุมออกมาอีกมันอาจจะทำให้ผู้ที่ได้สัญจรในบริเวณนั้นได้เกิดอุบัติเหตุได้

ซึ่งชาวบ้านที่ได้พักอาศัยอยู่แถวนั้นพวกเขาก็จะพบเห็นเรื่องแปลกๆเรื่องของหงส์ตัวนี้กันอยู่บ่อยครั้งและชาวบ้านหลายคนก็ได้เชื่อกันว่าหงส์ตัวนี้มันเดินได้หลายๆคนได้เคยเห็นว่าหงส์ตัวนี้มันเคยไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนนในอดีตได้เล่าต่อๆกันมาว่าเคยมีคนที่ขับรถผ่านไปมาและได้เห็นหงส์ตัวนี้มันได้เดินข้ามไปอีกฝั่งของถนน ซึ่งถ้าหหากว่าขับรถมาจากถนนหงส์จะตั้งอยู่ทางขวามือและถ้าเกิดว่าขับรถมาทางใต้หงส์จะตั้งอยู่ทางซ้ายมือแต่มีผู้ที่พบเห็นหงส์ได้ข้ามมาอยู่อีกฝั่งหนึ่งซึ่งมันเป็นไปได้อย่างไงมันก็ยังไม่มีใครรู้แต่บ้างก็ว่าเฉพาะผู้ที่มีบุญเท่านั้นที่จะได้เห็นสิ่งนี้

นอกจากนี้โซที่ได้ล่ามหงส์ตัวนี้เอาไว้มันไม่มีอยู่แล้วเพราะว่าสชาวบ้านเขาได้สร้างหงส์ตัวขนาดเล็กเอาไว้อยู่ที่ข้างๆหงส์ตัวใหญ่ซึ่งมันได้เป้นหงส์ตัวลูกเอาไว้ข้างๆกับหงส์ตัวแม่เลยและนี้มันอาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่เขาต้องล่ามโซหงส์ตัวนี้เพราะว่าหงส์ตัวนี้มันอาจจะบินไปหาหงส์ตัวลูกหรือว่ามันอาจจะเป็นห่วงลูกนั่นเองมันก็เลยจำเป็นที่จะสร้างหงส์ตัวลูกเอาไว้ข้างๆและในปัจจุบันนี้ก็ไม่มีโซล่ามหงส์ตัวแม่อีกแล้วเพราะเนื่องจากว่ามันไม่ต้องบินออกไปไหนแล้ว

ซึ่งในอดีตก็ว่าบริเวณพื้นที่ป่าของหงส์ตัวนี้จะมีวัตถุที่ห้อยลงมาคล้ายๆกับระฆังหรืออะไรสักอย่างที่มันได้ห้อยลงมาจากปากหงส์แต่ เนื่องจากว่ามันได้เกิดอุบัติเหตุระฆังที่มันได้ห้อยอยู่ที่ปากของหงส์ตัวนี้มันได้ล่นลงมาทับพระเสียชีวิตจึงจำเป็นที่จะต้องนำสิ่งนี้ออกจากปากหงส์ไปเพราะเนื่องจากว่าป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาอีกครั้ง

 

สนับสนุนโดย  entaplay link

อาดัมเป็นคนแรกของโลกที่รู้เรื่องของหินศิลานักปราชญ์

สำหรับหินศิลานักปราชญ์ตรงนี้แล้วตามความเชื่อนี้มันจะมีอยู่สองรูปแบบด้วยกันคือหินศิลานักปราชญ์ที่เป็นสีขาวกับหินศิลานักปราชญ์ที่เป็นสีแดง โดยหินศิลานักปราชญ์สีขาวตรงนี้ มันจะเปลี่ยนให้โลหะหรือสิ่งของต่างๆกลายเป็นเงินแท้ได้ส่วนหินศิลานักปราชญ์ที่เป็นสีแดงเขาได้บอกเอาไว้ว่ามันสามารถเปลี่ยนสิ่งของหรือโลหะให้กลายมาเป็นทองได้นั่นเองและตามข้อมูลตรงนี้เขายังได้บอกอีกว่า 

ถ้าหากใครที่ได้ครอบครองหินศิลานักปราชญ์และนำเอาหินศิลานักปราชญ์นั้นนำเอามาทำให้กลายเป็นของเหลวพร้อมกับดื่มมันเข้าไปบุคคลที่ได้ดื่มมันเข้าไปนั้นว่ากันว่ามันจะทำให้มีอายุยื่นยาวได้มาขึ้นถึงอีกหนึ่งเท่าตัวและได้กลับมามีวัยหนุ่มอีกครั้งหรือถ้าดื่มมันเข้าไปมากพอมันก็อาจจะทำให้คุณนั้นกลายเป็นอมตะได้เลย

ซึ่งในความเชื่อของยาอมตะหรือศิลานักปราชญ์ตรงนี้มันก็ไม่ได้มีเพียงแค่การเล่นแร่ของการแปลงธาตุแต่ในความเชื่อของคนจีนในสมัยก่อนเขาก็ได้มีความเชื่อในเรื่องของยาอายุวัฒนและการเล่นแร่แปลงธาตุที่เกี่ยวกับเรื่องของทางการแพทย์เลยทำให้จีนในสมัยก่อนวิทยานทางการแพทย์หรือศาสตร์ต่างๆที่เกี่ยวกับทางการแพทย์มันค่อนข้างที่จะพัฒนาไปจนถึงจุดสูงสุดแต่มันยังไม่ถึงจุดสูงสุดตรงที่ว่าเขายังไม่สามารถที่จะหายาอายุวัฒนะหรือสิ่งที่เราเรียกกันว่าหินศิลานักปราชญ์ได้นั่นเอง

โดยหินศิลานักปราชญ์ที่เราได้พุดถึงกันตรงนี้ได้ถูกพูดถึงครั้งแรก เมื่อประมาณคริสตศักราชที่300 โดยได้มีนักเล่นแร่แปลงธาตุคนหนึ่งที่ได้มีชื่อว่าโซสิโมเขาได้เขียนบรรยายถึงสารดังกล่าวเอาไว้ในแบบที่เราได้อธิบายไปแต่ในตอนนั้นไม่มีใครเชื่อกันเลยว่าสะสารดังกล่าวนี้มันมีอยู่จริงเพราะมันไม่มีอะไรที่จะยื่นยันได้และไม่มีหลักฐานที่แน่นพอมีแต่คำพูดลอยๆและการจดบันทึกที่ไม่มีอะไรยื่นยันได้เลยว่าเป็นของจริงหรือว่าของปลอม

คนส่วนใหญ่ก็เลยไม่เชื่อว่าสิ่งๆนี้มันได้มีอยู่จริงและพอเวลาได้ผ่านไปเรื่อยๆเรื่องของศิลานักปราชญ์มันก็เริ่มเรือนรางหายไปจนมันได้มาถึงปีคริสตศักราชที่1620 เรื่องของศิลานักปราชญ์มันก็ได้กลับมาโด่งดังอีกครั้งหนึ่งจากนักดาราศาสตร์ที่ศึกษาในเรื่องของการเล่นแร่แปลงธาตุ

นอกจากนี้ยังได้มีการเขียนหนังสืออ้างอิงถึงบุคคลในประวัติศาสตร์โลกโบราณอย่างมนุษย์คนแรกที่ชื่อว่าอาดัม ซึ่งอาดัมนี่แหละคือบุคคลแรกของโลกที่ได้ถือศิลานักปราชญ์และได้รู้ว่าหินศิลานักปราชญ์นั้นมันได้มีองค์ประกอบอะไรบ้าง

 

สนับสนุนโดย  entaplay ดี ไหม

การเกิดกบฎเดือนมิถุนายน ในปี1832

ซึ่งในการเกิดเหตุการณ์กบฎในครั้งนี้นั้นได้ระเบิดขึ้นในขณะที่ประชาชนได้พากันออกมาร่วมชบวนงานศพของนายพลลามาร์คขบวนงานศพนี้เป็นซีน สำคัญมากในภาพยนตร์Les Miserablesที่มีเพลงDo you hear the peole sing นี่ล่ะเราจะต้องบอกกันไว้อีกเรื่องหนึ่งว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของระบอมสาธารณะรัฐหรือระบอมกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญคนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งมีเพียงแค่1%ของประชากร

ซึ่งก็ได้แก่คนที่มีทรัพย์สินมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งเป็นเจ้าของที่ดินอะไรต่างๆข้อเรียกร้องของฝ่ายสาธารณะรัฐก็คือให้ผู้ชายทุกคนมีสิทธิ์เลือกตั้งด้วยซ้ำไปกว่าที่ผู้หญิงฝรั่งเศสจะได้สิทธิ์เลือกตั้งอย่างสมบูรณ์ก็ปาเข้าไปประมาณปี1945เลยทีเดียวเวลาที่เราได้พูดถึงประชาธิปไตและสิทธิเสรีภาพเราพูดกันเป็นดีกรีการต่อสู้ไม่เคยจบสิ้นอย่างที่เห็นๆกันอยู่การกบฎเดือนมิถุนายนของขบวนการสาธารณะรัฐถูกเรียกว่ากบฎเพราะล้มล้างกษัตริย์ไม่สำเร็จทั้งนี้น่าจะเป้น

เพราะชาวปารีสส่วนใหญ่ไม่ได้ออกมาสนับสนุนการต่อสู้ในครั้งนี้ทหารที่ถูกเรียกเข้ามาในปารีสเกือบ4หมื่นนายจึงปราบปรามได้อย่างราบคาบ นอกจากนี้คนที่ออกมาต่อสู้แปดสิบเปอร์เซ็นต์คือคนชนชั้นแรงงานและลูกจ้างชั้นล่างได้มีผู้เสียชีวิตฝั่งประชาชนราว800คนหลังจากนั้นรัฐบาล

ซึ่งก็มาจากการต่อสู้เพื่อการเป็นสาธารณะรัฐก็พยายามตีกรรเชียงออกห่างจากขบวนการสาธารณะรัฐคือแม้ว่าตัวเองจะมาจากการต่อสู้ล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แต่ก็พยายามกลบๆประวัติศาสตร์นั้นไปหนึ่งในความพยายามก็คือการสั่งให้เก็บภาพLiberty Guiding the People ของDelacroixไม่ให้สาธารณะชนได้พบเห็นอีก โดยได้ให้เหตุผลว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีทั้งๆที่เหตุการณ์การปฏิวัติปี1830ที่ภาพนี้บันทึกไว้คือเหตุการณ์ที่ทำให้กษัตริย์ หลุยส์ ฟิลลีป ได้ขึ้นครองราชย์แท้ๆอย่างไร

ก็ตามในเดือนกุมภาพันธ์1848ก็เกิดการปฏิวัติขึ้นมาอีกครั้งที่มีชื่อว่า February Revolutionได้เป็นผลให้กษัตริย์ หลุยส์ ฟิลลีปที่1 ต้องสละราชสมบัติและเสด็จไปลี้ภัยที่อังกฤษจนสิ้นพระชนม์ใน2ปีต่อมาFebruary Revolutionนี้นำโดยคนชั้นกลางและพ่อค้าคือหลังจากที่การกบฎเดือนมิถุนายนได้จบลงรัฐบาลก็ได้ออกกฎหมายห้ามการชุมนุมชนชั้นกลางและพ่อค้าที่อยากจะชุมนุมพบปะพูดคุยเรื่องการเมืองหรือคุยกับนักการเมืองก็เลยเริ่มจัดงานเลี้ยงระดมทุนที่จริงๆแล้ว

ก็คือการชุมนุมทางการเมืองนั่นแหละงานเลี้ยงประเภทนี้ก็ฮิตมากได้จัดกันทั่วประเทศจนรัฐบาลออกกฎหมายห้ามจัดงานเลี้ยงชุมนุมแบบนี้ก็เลยเกิดการประท้วงขึ้นอีกการประท้วงเที่ยวนี้ค่อยข้างมีทุนช่วยเหลือเพราะเริ่มขึ้นจากชนชั้นกลางและการปราบปรามก็เป็นไปได้ยากเพราะอย่างว่าคนชั้นกลางไงสุดท้ายนายกรัฐมนตรีก็ลาออกและกษัตริย์ ซึ่งยังจำฉากสุดท้ายของลูกพี่ลูกน้องก็คือพระเจ้าหลุยส์ที่16ได้ก็หนีออกจากฝรั่งเศสไปแบบเงียบๆ

 

สนับสนุนโดย  entaplay slot