ผู้เขียน: admin

ตำนานเทพนาจา 

 เทพเจ้านาจาเป็นเทพเจ้าที่มีหน้าที่ปกป้องพิทักษ์ประตูสวรรค์รูปร่างของเทพเจ้านาจานั้นจะมีลักษณะเหมือนเด็กน้อยมีอาวุธเป็นหอกและห่วงทอง และมีพาหนะเป็นกงล้อไฟช่วยให้เดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวก  ประวัติของเทพเจ้านาจานั้นว่ากันว่าเป็นชายคนนึงที่ชื่อว่าหลีจิ้ง ทำหน้าที่พิทักษ์ประตูเมือง

ซึ่งเขามีภรรยาอยู่คนนึงกำลังตั้งครรภ์ แต่ครรภ์ของภรรยาของเขาผิดปกติ เพราะอายุครรภ์ 3 ปี 6 เดือนแล้วยังไม่คลอดสักที ซึ่งด้วยอายุครรภ์ที่นานแบบนี้ทำให้หลี่จิ้งเข้าใจว่าเด็กที่อยู่ในท้องของภรรยา คือปีศาจโดยเขาตั้งใจว่าหากเด็กคลอดออกมาเขาจะฆ่าทิ้งเสีย ทางด้านฝ่ายภรรยาของหลี่จิ้งฝันว่า มีนักบวชได้พาเด็กน้อยมามอบให้และหลังจากที่เธอตื่นขึ้นมาเธอก็ให้กำเนิดลูก

แต่เด็กคนนั้นกลับเป็นเพียงแค่ก้อนเนื้อที่สามารถกลิ้งไปกลิ้งมาได้ เมื่อหลี่จิ้งเห็นก้อนเนื้อดังกล่าวก็ต้องเข้าจัดการทันทีด้วยการนำของออกมาผ่าก้อนเนื้อนั้นออกซึ่งหลังจากที่ผ่าก้อนเนื้อออกมาแล้วก็ปรากฏว่ามีเด็กออกมาจากก้อนเนื้อนั้น โดยที่มือขวามีกำไรทองคำและยังใส่เอี๊ยมสีแดง และหลังจากนั้นไม่นาน ไท่อี๋เจินเหลิน

ก็เดินทางมาเยี่ยมเด็กน้อยคนดังกล่าวและได้มีการตั้งชื่อให้ว่านาจา ทำให้หลี่จิ้งได้รู้ว่า ลูกชายของตนเองนั้นไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป  และเมื่อตอนที่นาจะมีอายุครบ 7 ปี  นาจาได้มาเล่นน้ำที่ทะเลตงไห่

และด้วยอาวุธวิเศษที่ติดตัวนาจามา ทำให้เวลาที่น้ำทะเลโดนตัวของนาจา เกิดมีเสียงกระทบเสียงดังสะท้านลงไปถึงใต้เมืองบาดาล ซึ่งเป็นที่อยุู่ของพญามังกร  ทหารยามที่เป็นยังของวังพญามังกรจึงขึ้นมาดูและมีความต้องการที่จะอยากได้ของวิเศษของนาจา แต่ก็ถูกนาจาฆ่าตาย พญามังกรทราบเรื่องจึงได้ส่งลูกชายมาปราบนาจา

แต่ก็ถูกนาจาทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ จนพญามังกรต้องขึ้นมาต่อสู้กับนาจาเอง แต่ก็ไม่สามารถสู้กับนาจาได้ ทำให้พญามังกรได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นเดียวกัน ทำให้พญามังกรไปเรียกพี่น้องของตนที่เฝ้าประตูเมืองบาดาลทั้งสี่ทิศให้มาช่วยกันสร้างคลื่นยักษ์เพื่อถล่มเมืองที่พ่อของนาจาเฝ้าอยู่ ทำให้พ่อของนาจาไม่พอใจต่อว่านาจาที่สร้างปัญหามาให้กับชาวเมือง 

ซึ่งนาจากลัวว่าชาวเมืองจะต้องมาเดือดร้อนเพราะตัวเอง จึงฆ่าตัวตายด้วยการเฉียนเอาเนื้อไปให้พ่อ และเอากระดูกกลับคืนไปให้แม่ตามที่พญามังกรต้องการ ด้วยความเสียสละของนาจา ชาวเมืองจึงได้พากันมาสร้างศาลให้กับนาจาแต่พ่อของนาจาก็มาพังศาลทิ้งทำให้วิญญาณของนาจาเร่ร่อนไปทั่วจนไปเจอกับคนที่เคยตั้งชื่อให้กับนาจาตอนที่นาจาเกิด 

ซึ่งไท่อี๋เจินเหลิน สงสารนาจาจึงได้นำส่วนประกอบของบัว ทั้งใบ ราก และดอกมาสร้างเป็นรูปร่างให้กับนาจาและเสกให้นาจากลับมามีชีวิตอีกครั้ง พร้อมทั้งยังยกกงล้อไฟและปืนปลายไฟให้กับนาจาเอาไว้เป็นอาวุธหลังจากนั้นนาจาก็กลับมาแก้แค้พ่อของตัวเอง จนพ่อของตัวเองต้องไปขอความช่วยเหลือของพระพุทธเจ้า

ซึ่งนาจาก็ตามมาเพื่อหวังจะฆ่าพ่อตัวเอง แต่พระพุทธเจ้าทรงห้ามเอาไว้แต่นาจาไม่ฟังพระพุทธเจ้าจึงได้ขังเอาไว้ในเจดีย์ไฟ จนนาจาต้องร้องขอให้ปล่อยและยกเลิกความคิดที่จะฆ่าพ่อของตัวเอง อีกทั้งยังไปช่วยพ่อฆ่ากษัตร์ที่ไม่ดีอีกด้วย จนในที่สุดนาจาก็ได้รับการแต่ตั้งให้เป็น จงขานหยวน ซึ่งมีประวัติในวรรณกรรมจีนสืบต่อมา

 

สนับสนุนโดย  9luck

การหายตัวไปที่ไร่ร่องรอย

ในวันนี้เราจะพาไปชมเรื่องราวของบุคคลที่พวกเขานั้นได้หายตัวไปและได้ใช้ชีวิตอย่างโดดเดียวในพื้นที่ในป่าแห่งใหญ่ได้เป็นเวลานานหลายสิบปีและชีวิตของพวกเขานั้นจะเป็นอย่างไรนั้นเราลองไปชมกันดู

Rochom Pngieng

และสำหรับเรื่องนี้นั้นลองย้อนกลับไปเมื่อวันที่13มกราคม ในปี คศ2007 ก็ได้มีผุ้พบเห็นหญิงสาวคนหนึ่งได้กำลังเดินออกมาจากในป่าลึกในเขตของพื้นที่จังหวัดรันตนคีรีของประเทศกัมพูชา ซึ่งหญิงสาวคนนี้นั้นก็ได้มีท่าทีแปลกๆไม่ว่าจะเป็นในตอนที่เธอนั้นเปลือยกายไม่ใส่เสื้อผ้าและร่างกายก็เต็มไปด้วยรอยของแผลเป็นสีผิวที่ดูค้ำและไม้เกรียมผมยาวลุงรังไปจนถึงขาและสิ่งที่ยาวและแหนมคมที่ไม่เคยตัดและนอกจากนั้นเธอยังมีภาพทางการเดินที่ได้โน้มตัวลงมาข้างหน้าเหมือนกันลิง

และที่สำคัญเธอนั้นไม่สามารถที่จะพูดภาษาของมนุษย์ได้และเรื่องนี้ก็ได้ไปถึงด้านสำนักงานใหญ่ทุกคนต่างก็จะให้ความสำคับต่อเรื่องแบบนี้เป็นอย่างมากและอย่างจะรู้ที่มาที่ไปที่เกี่ยวข้องกับตัวเธอเป็นอย่างมากซึ่งก็ได้มีการเรียกคานและยังได้ตั้งสมยานามว่าหญิงสาวชาวป่าแห่งประเทศกัมพูชาและในภายหลังจากที่ได้มีกับพบหญิงสาวชาวป่าของประเทศกัมพูชาได้ถูกเผยแพร่ออกไปซึ่งก็ได้เป็นตำรวจที่ได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ไม่ไกลไปจากหมู่บ้านของเธอก็ได้ออกมาบอกว่าหญิงสาวชาวป่าคนนี้นี่แหละคือลูกสาวของตนเองนี่แหละ

เมื่อในปี คศ.1988 เธอนั้นได้มีชื่อว่าRochom Pngieng โดยชายคนนี้นั้นก็ยังได้บอกอีกว่าRochom Pngieng นั้นได้หายตัวไปในตอนระหว่างที่ตัวเธอนั้นได้ออกไปต้อนฝูงควายที่กินหญ้าอยู่ในป่าใหญ่ในช่วงเวลาขนาดนั้นเธอมีอายุเพียงแค่8และในภายหลังจากนั้นเธอคนนี้ก็ไม่ได้กลับมาอีกเลยซึ่งทุกๆก็ได้ได้ช่วยกันที่จะออกพยายยามที่จะตามหาตัวเธอ

แต่ก็ไม่สามารถที่จะพบร่องรอยของตัวเธอเลยใดๆในทั้งสิ้นจนในที่สุดแล้วก็ต้องเลิกและถอดใจและได้ยกเลิกในการค้นหานั้นเพราะได้เชื่อกันว่าเธอนั้นก้น่าจะถูกเหล่าฝูงสัตว์ป่าได้ถูกจับเอาไปกินแล้วก็ได้และก็ได้เสียชีวิตลงแล้วและหลังจากที่ได้มีการตรวจสอบด้านเอกสารดังกล่าวแล้วก็สามารถที่จะพิสูจน์ได้อีกว่าหญิงสาวคนนี้นั้นเธอก็คือRochom Pngieng ตัวจริงและเธอนั้นก็ได้กลับไปอยู่กับครอบครัวที่ได้พัดพรากอีกครั้งแต่ทว่าทางRochom Pngieng นั้นไม่สามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่ไม่คุ้นเคยนี้ได้

 

สนับสนุนโดย  sagame

ประเพณีของคอนยัค

รัฐบาลอินเดียจะเปลี่ยนแปลงประเพณีของคอนยัคได้หรือไม่

สัญชาตญาณนักล่าที่ได้ถูกสืบทอดต่อๆกันมาในชนเผ่าคอนยัคนั้นทำให้พวกเขามักจะรอคอยจังหวะและหาโอกาสบุกทำร้ายล้างหมู่บ้านอื่นๆโดนที่พวกเขาสามารถที่จะลงมือฆ่าคนได้แทบจะทุกชนเผ่าหรือทุกสิ่งที่อยู่ขวางหน้าไม่เวว้นแม้แต่ชนเผ่าแชงที่ได้เปรียบเสมือนกับว่าเป็นชนเผ่าพี่น้องซึ่งได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแห่งดินแดนกานาอย่างเช่นเดียวกัน

กับพวกเขาประเพณีอันเรืองชื่อของชนเผ่าคอนยัคคือการออกไรล่าตักศรีษะฝ่ายศัตรูด้วยอาวุธที่เป็นมีดอย่างคมกริบซึ่งได้เป็นอาวุธประจำกายที่น่ากลัวของชนเผ่านี้ประเพณีการออกล่าชนเผ่าหัวมนุษย์ของชนเผ่าคอนยัคได้เป็นที่กล่าวขวัญเป็นอย่างมากจนทำให้ทุกคนต่างก็พากันหวาดกลัวกันไปทั่วแม้แต่ในยุคสมัยของการล่าเมื่องขึ้นที่ประเทศอังกฤษ

ยังคงเป็นมหาอำนาจทางการสงครามซึ่งจนกระทั่งทหารอังกฤษเองก็ยังไม่สามารถที่จะร่วงล้ำเข้าไปในดินแดนของชนเผ่าของคอนยัคได้พวกทหารอังกฤษนั้นจะหลีกเลี่ยงในการรุกล้ำเข้าสู่ดินแดนแห่งนี้เพราะนอกจจากจะเป็นการเอาชีวิตของทหารเป็นๆไปทิ้งให้เป็นศพไร้หัวจนเต็มพื้นที่แล้วพวกทหารอังกฤษก็ยังไม่เคยที่จะได้อะไรกลับมาจากดินแดนของชาวเผ่าคอนยัคเลย

หรือแม้แต่จะใช้กลยุทธวิธีที่ในครั้งหนึ่งกลยุทธนี้เคยทำให้อังกฤษสามารถที่จะเอาชนะราชวงศ์ชิงของจีนจนได้สำเร็จมาแล้วนั่นก็คือยุยงให้ชนเผ่าพื้นเมืองหันมาปลูกและเสพฝิ่นเพื่อเป็นการทำร้ายความเข้มแข็งของชนเผ่าดั่งเดิมแต่กลยุทธ์นี้ไม่สามารถทำร้ายพฤติกรรมความรุกแรงแข็งก้าวของชนเผ่าคอนยัคได้อยู่ดีแม้แต่กำลังและคามพยายามของทางการอินเดียเองก็ยังไม่สามารถที่จะเปลี่ยนเปลงวัฒนธรรมการฆ่าตัดคอของพวกชนเผ่าเก่าแก่ดั่งเดิมนี้

ได้ซึ่งไม่ว่าทางการจะพยายามที่จะกดดันอย่างใดแต่ผลรับที่ดีที่สุดนั้นก็เป็นการปีปให้ชนเผ่าคอนยัคหลีกเลี่ยงการฆ่าตัดคอเหยื่ออย่างเปิดเผยเหมือนอย่างเช่นแต่ก่อนเป็นมาการรักรอบการสังหารเหยื่ออย่างหลบๆซ้อนๆเท่านั้นในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ทางการอินเดียจะคอยสอดส่องกันอย่างเข้มงด

เพื่อไม่ให้มีวัฒนธรรมในการทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเองแต่อย่างไรก็ตามหลายคนนั้นก็ยังเชื่อว่าชาวคอนยัคก็ยังคงยึดมั่นที่จะสืบทอดประเพณีการตัดหัวกันต่อไปอย่างไม่ลดระถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำการตัดคอกันอย่างโจ่งแจ้งเหมือนอย่างเช่นแต่ก่อนก็ตามทีทั้งนี้ก็ได้มีการพบว่ามีการนำเอาซากหัวกระโหลกมนุษย์เอาไปซ้อนเอาไว้ในป่าจนในที่สุดกองกระโหลดเหล่านั้นก็มีการเพิ่มมากขึ้น

ชนเผ่าล่าหัวคนที่หลงเหลือมาจากยุคโบราณ

ชนเผ่าคอนยัคนักล่าหัวมนุษย์แห่งโลกในยุคปัจจุบันหากจะผู้ถึงรัฐนาคาแลนด์หรือนากาแลนด์ซึ่งได้เป็นรัฐหนึ่งของประเทศอินเดียที่ได้มีชนเผ่าแย่ๆได้อาศัยกันอยู่มากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็จะพบว่าได้มีชื่อของชนเผ่าคอรยัครวมอยู่ด้วยหากแต่ว่าชื่อของชนเผ่านี้อาจจะมีอีกหลายคนลบโลกที่ยังไม่เคยได้ยินชื่อหรือรับรู้ถึงการมีตัวตนของชนเผ่าเก่าแก่กลุ่มนี้มาก่อน

แต่สำหรับชาวอินเดียแล้วเมื่อพวกเขาได้ยินชื่อชนเผ่ากลุ่มนี้ขึ้นมาครั้งใดก็จะทำให้หลายคนก็จะต้องรู้สึกหวาดกลัวทุกครั้งไป ซึ่งนั่นมันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากคนทั่วไปที่ได้ยินชื่อของกลุ่มก่อการร้ายลายใหญ่จากในข่าวสารในยุคปัจจุบัน  ชื่อของชนเผ่าคอนยัคนั้นราวกับว่าเป็นชื่อแห่งความตายหรือได้เป็นชื่อที่อันตรายที่ผู้คนไม่ค่อยอยากจะได้ยินนักอีกทั้งชาวบ้านทั่วไปมักจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองนั้น

จะต้องเฉียดเข้าไปไกล้กับพื้นที่ของชนเผ่ากลุ่มนี้โดยเด็ดขาดเพราะผู้คนในชนเผ่าคอนยัคได้เปรียบเสมือนกับเป็นปีศาจนักรบในคาบมนุษย์ที่ได้มีความเฮียมโหดอำมหิตผสมไปกับความบ้าคลั่งไปกว่าที่ใครจะคาดเดาได้หรือว้าหากผู้ใดที่คิดจะย่างกายเข้าไปเยือนดินแดนนากาแลนด์ต่างก็จะต้องระวังตัวเอวไว้ให้ดีเพราะไม่มีสิ่งใดเลยที่จะรับประกันได้เลยว่าพวกเขาจะได้เดินทางออกมาอย่างปลอดภัยภายในดงป่าแห่งทึบแห่งดงนากาแลนด์ที่นี่ได้เป็นที่ซ้อนตัวของชนเผ่าคอนยัคที่ยังคงสืบทอดประเพณีโบราณของชนเผ่าตนเองมากอย่างต่อเนื่องจวบจนมาถึงยังโลกสมัยใหม่

ซึ่งประเพณีที่ว่านี้ก็คือ ประเพณีการสังวาลย์ชีวิตศัตรูมอบให้แก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยวิธีการตัดศีรษะมนุษย์อย่างอำมหิตอย่างเลือดเย็นไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาแค่ไหนแต่พวกเขาก็ยังคงความเฮียมโหดเอาไว้อย่างที่ได้เคยเป็นมาด้วยการรักษาพิธีกรรมฆ่าตัดหัวอยู่เช่นเดิมและทั้งหมดนี้ก็ได้เป็นการสืบทอดในการเจตนาโรมแห่งวัฒนาธรรมของชนเผ่าตนต่อไปอย่างไม่จบสิ้นถึงแม้ว่าสิ่งที่พวกเขานั้นได้กระทำนั้นจะถูกประกาสจากทางรัฐบาลอินเดียได้ประกาสสั่งห้ามแล้วนับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม

และด้วยวัฒนธรรมและด้านพิธีกรรมที่โหดร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้จึงได้ทำให้ผู้คนในสมัยในยุคปัจจุบันจำนวนมากจะต้องเกิดความรู้สึกประหลาดใจเพราะไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีเรื่องราวอันโหดร้ายสหยองขวัญของคนชนเผ่ายุคโบราณคงเหลือรอดมาถึงในยุคสมัยใหม่เช่นนี้ได้แต่อย่างไรก็ตามพวกชนนเผ่าคอนยัคก็ได้ถูกทางการจำกัดให้อยู่แค่ภายในบริเวณในพื้นที่ของรัฐนากาแลนด์เท่านั้น

ตำนานนางตานี

นางตานีถือเป็นนางไม้เป็นลูกเทวดาชนิดหนึ่งมี วิมานอยู่ที่ต้นกล้วยตานีนางตานีจะมีรูปร่างหน้าตาสวยสดหมดจดงดงาม มีกลิ่นกายหอม ไว้ผมยาวสลวยฝ่ามือฝ่าเท้าแดงอ่อนๆริมฝีปากสวยมีสีเหมือนดั่งตำลึงสุกซึ่งตามความเชื่อกันว่าถ้าหากต้นตานีมีลักษณะเป็นทรงอ้วนนางตานีที่สิงอยู่ในต้นกล้วยตานีก็จะมีรูปร่างท้วม  ถ้าหากต้นกล้วยมีรูปร่างที่สูงโปร่งก็จะมีรูปร่างที่สวยเพรียวซึ่งนางตานีเจ้าห่มสไบสีเขียว    

ดูโจงกระเบนแบบหญิงโบราณและสีของชุดนางตานีก็จะเปลี่ยนไปตามอายุสีของต้นกล้วยด้วย นางตานีมักจะใจดีขอให้โชคให้ลาภ แก่คนที่มาบูชา  หรือให้ลาภกับเจ้าของบ้านที่ต้นกล้วยตานีขึ้นอยู่ หากว่าใครเป็นอะไรขัดใจหรือว่าเป็นการลบหลู่แม่ตานี นางตานีก็จะแสดงความดุร้ายออกมาที่เฮี้ยนมากๆก็อาจจะก่อให้เกิดถึงตายได้แต่ว่ากันว่านางตานีนั้นยังไม่ดุร้ายเท่ากับนางตะเคียนเพราะถ้าหากว่าใครสำนึกผิดแล้วมากราบขอโทษขอร้องขอขมานางตานีก็จะยกโทษให้

ถ้าใครอยากรู้ว่าต้นกล้วยต้นไหนที่มีนางตานีสิงอยู่นั้น ให้ดูที่ต้นกล้วยที่สูงที่สุดที่อยู่ในดงกล้วยตานีนั้น หรือดูที่ความแปลกประหลาดของต้นกล้วยตานี เช่นต้นกล้วยตานีอาจจะออกลูกออกเครือแตกต่างจากต้นกล้วยตานีต้นอื่นอื่นทั่วไป ด้วยเหตุที่พายจะมีเป็นผี จึงมักไม่นิยมกล้วยตานีไว้ใกล้บ้าน และยังมีความเชื่ออีกว่าหากใครที่ต้องการจะตัดใบตองของต้นกล้วยตานีไปใช้ห้ามตัดทั้งหมด แต่ถ้าจะตัดทั้งหมดก็ต้องหักกันใบตองเสียก่อนถึงจะหักตัดเอามาใช้ได้

หรือจะใช้เป็นวิธีการเอามาเฉพาะใบอย่างเดียวแต่เอาก้านไว้ต้นก็ได้แต่ถ้าใครเอาใบตองมาทั้งต้นและก้านหมดเลยทั้งที่ไม่หักก่อนก็จะเกิดเหตุร้าย และจะมีคนภายในบ้านตาย ในไม่ช้า  ซึ่งความเชื่อนี้น่าจะมาจากในสมัยโบราณผู้คนมักจะนิยมใบตองของต้นกล้วยตานีมาลองไว้ในโลงศพเพื่อให้คนตายนอนทับ ในสมัยโบราณหากกล้วยตานีมีการออกหัวปลีก็มักจะมีการทำพิธี พลีพรายนางตานี ซึ่งเครื่องพลีก็จะมี หัวหมู บายศรี อาหารคาว อาหารหวาน ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ข้าวตอกดอกไม้ และธูปเทียน

การเตรียมน้ำหอมเครื่องหอมและแป้งกระแจะจันทร์เป็นต้น ซึ่งในการทำพิธีนั้นเจ้าบ้านจะต้องนำแหวนสร้อยทองไปประดับไว้ที่ปลีกล้วยรวมถึงต้องนำผ้าแพรสีต่างๆอาจจะเอาสีเขียวหรือสีแดงก็ได้ไปผูกไว้ที่ต้นกล้วยตานี เปรียบเหมือนว่าเป็นการแต่งกายให้แม่นางตานี แล้วจึงทำการขอพรนางตานีไปช่วยคุ้มครองคนในบ้านให้อยู่ร่มเย็นและมีความสุข

หรือบางทีก็จะมีการนำพระสงฆ์สวดทำบุญด้วย บางทีหมอที่ทำพิธีเสร็จ แล้ว เราจะนำดอกในกล้วยตานีไปตากแดดให้แห้งแล้วนำมาบดเป็นผง ผสมกับผงดินสอขาวที่ลงยันต์เรียบร้อยแล้ว มาทำให้เกิดเป็นสีผึ้งเมื่อใช้แล้วก็จะเกิดทำให้คนที่ใช้มีเสน่ห์เป็นเมตตามหานิยมพูดอะไรใครก็เชื่อ ถ้าหากว่ามีการทำพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้วแล้วกล้วยตานีมีการออกปลีกลางต้นนั่นหมายถึงว่าได้มีนางตานีเกิดขึ้นแล้ว

ประเทศที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนน้อยมากจริงๆ

คุณจะรู้หรือไม่ว่าประเทศที่มีประชากรที่น้อยมากและยังมีพื้นที่อยู่อาศัยที่น้อยไปกว่าประเทศอื่นๆอีกด้วยซึ่งทุกคนต่างก็จะคุ้นเคยกันแต่ภายในข่าว ซึ่งที่จริงแล้วสถานที่ที่มีพื้นที่น้อยขนาดนี้มันก็ยังมีอยู่ในโลกใบนี้อีกเป็นร้อยประเทศและมันจะมีประเทศอะไรกันบ้างมาดูเลย

SEBOGRA

ซึ่งได้มีขนาดพื้นที่1.9ตารางไมล์หรือจะคิดเป็น4.91ตารางกิโลเมตรและยังมีประชากรที่อยู่อาศัยเพียง312คน ด้วยประเทศจำลองสถานที่แห่งนี้ก็ได้จัดตั้งอยู่บนดินแดนทางตอนเหนือของ อิตาลี ไกล้กันกับชายแดน ฝรั่งเศส ซึ่งมันก็ได้ถูกก่อตั้งขึ้นมาในปี1960 และยังได้ปกครองกันแบบประชาธิปไตรและที่สำคัญพวกเขานั้นก็ยังมีกองกำลังที่จะป้องกันตัวเองอีกด้วยในประเทศแห่งนี้จะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม1คน และ ยังมีทหารที่คอยเฝ้าเขตชายแดนเพียงแค่ 2 คน เท่านั้นเอง

SOVEREIGN MILITARY ORDER OF MALTA หรือ คณะทหารองค์อธิปัตย์แห่งมอลตา

มีขนาดพื้นที่ประมาณ0.012ตารางกิโลเมตร หรือจะคิดเป็น 0.01ตารางกิโลเมตร มีประชากรอาศัยอยู่113,500คน ที่ดินแดนแห่งนี้จากแตกต่างจากนครรัฐวาติกันถึงแม้ว่ามันจะอยู่ในอาณาเขตของกรุงโรมในประเทศอิตาลีเหมือนกันก็ตาม ซึ่งมันก็จะถูกเรียกว่า คณะทหารองค์อธิปัตย์แห่งมอลตา ซึ่งได้มีพื้นที่เพียง0.01ตารางกิโลเมตรและยังประกอบไปด้วย

ตึกสามตึก ซึ่งสองในสามตึกนั้นจะมีพื้นที่ตั้งอยู่ในกรุงโรมอีกหนึ่งตึกจะไปอยู่ที่บนเกาะของมอลตา ประเทศนี้ได้มีเงินตราและแสตมป์รวมถึงพาสปอร์ตเป็นของตนเองอีกทั้งประชากรที่อยู่ในประเทศก็จะมีสิทธิ์ที่จะเข้าได้หลายประเทศไปทั่วโลกและนอกจากนี้ประเทศนนี้ก็ยังเป็นประเทศเดียวที่ได้ประกาสขึ้นใช้ภาษาละตินให้เป็นภาษาของทางการอีกด้วย

SEALAND  ซีแลนด์

มีขนาดพื้นที่0.015ตารางไมล์ หรือจะคิดเป็น 0.004ตารางกิโลเมตร และมีประชากรที่ได้อาศัยอยู่ที่แห่งนั้นประมาณ24คน และที่ก็คือเป็นประเทศจำลองที่ได้มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ซึ่งมันก็ได้ถูกตั้งอยู่บนเสาแค่เพียงสองต้นในทะเลห่างออกไปจากชายฝั่งของสหราชอาณาจักรไปเพียงแค่6ไมล์ทะเลเท่านั้นซึ่งสถานที่นี้นั้นได้เป็นป้อมปราการที่ได้ถูกสร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 เพื่อที่จะใช้ให้เป็นสถานีวิทยุกระจายเสียงและในเวลาต่อมาก็ได้ประกาสตัวออกมาเพื่อเป็นอิสระในปีประมาณ1967

ซึ่งในปัจจุบันก็ได้ถูกปกครองโดย เจ้าชายไมเคิล ซึ่งก็ได้มีรัฐธรรมนูญธงชาติและเพลงชาติสกุลเงินและแสตมป์รวมไปถึงหนังสือเดินทาง ซึ่งถ้าหากว่าเพื่อนๆคนไหนสนใจที่อยยากจะซื้อของที่ระลึกเขาก็ยังได้มีเว็บไซต์ของประเทศเพื่อเปิดเอาไว้ซื้อขายของที่ระลึกออนไลน์อีกด้วย

 

สนับสนุนเรื่องราวต่างๆได้แก่  dewabet

เรือดำน้ำ และ รถถัง ที่ได้ยังหลงเหลือให้ได้ค้นพบ

คุณคงรู้ว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่1และ2อาวุธและพาหนะจำพวกรถถังและเรือรบหลายชนิดต่างก็ได้ถูกทำลายหรือไม่ก็ได้ศูนย์หายไปอย่างไร้ร่องรอยแต่ในวันนี้มันก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งด้วยเหตุบังเอิญดังนั้นเรามาดูกันเลยว่าสิ่งที่หลงเหลือจากสงครามเหล่านั้นมันจะมีอะไรกันบ้าง

เรื่อดำน้ำยู534 

ได้ถูกขึ้นมาในปี1993ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเรือดำน้ำสมัยสงครามโลกครั้งที่2ที่มันยังคงสภาพเอาไว้ได้โดยเรือดำน้ำลำนี้ก็ได้ถูกโจมตีด้วยระเบิดจากกองทัพสหรัสและระเบิดเรือดำน้ำจากหน่วยบันชาการชายฝั่งของกองทัพอากาศอีกทั้งยังได้ใช้ปืนยิงมาจากเครื่องบินเพื่อที่จะทำให้เรือลำนี้จมลงไปสู่กั้นทะเลแต่ทหารจำนวน52นายก็สามารถที่จะหนีลอดออกมาได้อย่างทันทีซึ่งเรือดำน้ำลำนี้ได้จมอยู่ในใต้ทะเลเป็นเวลา41ปีจนกระทั่งในปี1986นักล่าซากเรือที่ชื่อว่าAage Jenson ก็ได้กู้เรือดำน้ำรุ่นIXC40 ซึ่งเป็นเรือดำน้ำในตำนานขอพรรคนาซีขึ้นมาแต่ก้ได้ส่งเอาไปเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑ์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษโดยเรือดำน้ำนั้นก็ได้ถูกตัดออกให้เป็นห้าส่วนโดยมีสองส่วนต่อกันซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถที่จะเข้าชมระบบภายในรวมถึงชมการทำงานของมันได้อีกด้วย

รถถังเสือดำเยรมัน

นี2015รถถังเสือดำเยรมันได้ถูกค้นพบพร้อมกับอาวุธอื่นๆที่ได้ถูกซ้อนเอาไวภายในห้องใต้ดินของบ้านหลังหนึ่งในเมืองเบอร์ลินซึ่งโดยตำรวจก็ได้พบกับอาวุธสงครามระดับโลกครั้งที่2ซึ่งจุดที่ได้มีการค้นพบนั้นก้ได่อยู่ไกล้กับรถถังเสือดำคันนี้ซึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจที่เกี่ยวกับรถถังคันนี้ก็คือเจ้าของบ้านได้มีการครอบครองอาวุธอย่างผิดกฏหมายภายใต้กฏหมายในการครอบครองอาวุธสงครามของประเทศเยรมันนี้เมื่อได้มีการค้นพบรถถังแลวจึงได้มีการไปติดต่อกับกองทัพเยรมัน

เพื่อที่จะได้ถอดชิ้นส่วนของรถถังออกโดยจะใช้เวลามากกว่า9ชั่วโมงจากการช่วยเหลือของรถถังกู้ภัยจำนวนสองคันรถถังคันนี้ถือได้ว่ามันยังคงอยูในสภาพที่ดีเยียมและยังได้รับการซ่อมแซมจนเรียบร้อยดีเพียงแต่ว่าตีนตะขาบได้หายไปจากวงล้อของตัวรถถังเท่านั้นซึ่งชายที่ได่ครอบครองอาวุธสงครามก็ได้จ้างทนายความเพื่อที่จะเข้าสู้คดีในการจับกุมในครั้งนี้แต่อย่างไรเขาก้ไม่ได้รถถังของเขากลับไปอย่างแน่นอนเพราะอย่างไรแล้วรถถังลายเสือดำคันนี้ก็จะต้องถูกส่งไปให้กับกองทัพของประเทศเยรมันนีเพื่อทำการเก็บรักษาเอาไว้ให้เป็นอย่างดีในภายใต้ของกองทัพเยรมันนี

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนันออนไลน์2020

ความลึกลับของหมู่เกาะแซนดี้

ความลึกลับของหมู่เกาะแซนดี้ที่คุณนั้นไม่เคยรู้มาก่อนบน กูเกิล

เกาะSandy lsland 

เกาะแซนดี้  หากย้อนกลับไปในปี คศ1774 กัปตัน James Cook นักสำรวจและนักเดินเรือชื่อดังของชางอังกฤษก็ได้ค้นพบในที่เกาะแห่งหนึ่งที่ได้ทอดตัวมีความยาวประมาณ16กิโลเมตรทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณ ทะเลคอรัล อยู่กึ่งกลางระหว่างประเทศออสเตรีย และ เกาะ Grande Terre แคลิโดเนีย ที่ได้อยู่ภายใต้ของการปกครองของประเทศฝรั่งเศษ กัปตัน James Cook เจมส์คุก ก็ได้ทำการบันทึดเอาไว้ในแผนที่โลกและก็ได้เรียกเกาะแห่งนี้ว่า  เกาะแซนดี้

ต่อมาเมื่อในปี คศ1876 เรื่อลากปลาวาฬลำหนึ่งเรือเวโลซิตี้ก็ได้รายว่ามาว่าได้พบเห็นหมู่ เกาะแซนดี้ ซึ่งทำให้เกาะแห่งนี้ได้ปรากฏขึ้นในแผนที่การเดินเรือของประเทศเยรมันนี และก็ ประเทศอังกฤษตั้งแต่นั้นเป้นต้นมาและนอกจากนั้น หมู่ เกาะแซนดี้ ก็ยังได้ปรากฏอยู่บนแผนที่โลกอีกด้วยและแผนที่การของการเดินเรือของประเทศอื่นๆเรื่อยมารวมทั้งยังสามารถที่จะใช้ กูเกิล เอิร์ธ และ กูเกิล แมพ  ในการค้นหาที่ตั้งขแงหมู่เกาะแซนดี้ได้อีกด้วย จนแม้กระมั่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ในปี คศ2012

ที่ได้ผ่านมาทีมนักสำรวจทางทะเลและเหล่านักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยประเทศออสเตรียก็ได้ออกเดินทางเพื่อที่จะเข้าไปสำรวจที่ หมู่เกาะแซนดี้ แต่ทว่าเมื่อได้ไปถึงพิกัดที่ตั้งของหมู่เกาะ ทีมนักวิทยาศษสตร์ก็ได้พบกับ แต่เพียง พื้นผิวที่มันว่างเปล่าที่ไม่มีเงาของเกาะใดๆเลยทั้งสิ้น ดร.Maria Seton หัวหน้าทีมก็ยังได้กล่าวอีกว่าเราได้ใช้เวลาในการเดินทาง

เพื่อที่จะไปสำรวจและไปค้นหา เกาะแซนดี้ นานกว่าประมาณ25วันแต่ก็ไม่สามารถที่จะพบเห็นอะไรเลยแถมพื้นที่บริเวณนั้นก็ยังว่างเปล่าจึงมีแต่เพียงแค่น้ำทะเลเพียงเท่านั้น และตรงส่วนบริเวณที่เชื่อว่ามันเป็นที่ตั้งของเกาะก็ได้มีความลึกถึงประมาณ1,400เมตร ซึ่งมันถือว่าเป็นระดับน้ำที่ลึกมากๆและมันก็แถบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พื้นที่บริเวณนี้มันจะยังเคยมีหมู่เกาะตั้งอยู่พวกเราก็จึงได้สงสัยกันว่า เหตุใด หมู่เกาะแซนดี้ มันจึงได้ปรากฏอยู่ในแนที่ของโลก

และในที่สุดปริศนาการมีอยู่จริงของ หมู่เกาะแซนดี้ ก็ได้รับการขี้คายและเมื่อ กูเกิลนั้นได้ออกมายอมรับผิดว่าที่ไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะบรรจุ เกาะแซนดี้ลงไปใน กูเกิล เอิร์ธ และ กูเกิล แมพ  จากนั้นทางบริษัทเองก็ได้รับผิดชอบโดยการใช้ดาวเทียมถ่ายบริเวณที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของ เกาะแซนดี้ซะใหม่และก็ได้พบว่ามันไม่มีหมู่เกาะแซนดี้อยู่ในแผนที่แต่อย่างใดแต่สิ่งที่ได้เห็นเป็นเพียงแนวปะการังที่ทอดตัวยาวจนดูคล้ายเกาะดังที่ปรากฏอยู่ในรูปถ่ายของ กูเกิล 

 

ขอบคุณที่ให้เรื่องราวดีๆมาเสนอจาก  entaplay

ประวัติศาสตร์ของไทย

การยิงเป้าประหารชีวิตในครั้งประวัติศาสตร์ของไทย

วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องราวที่ยังคงอยู่ในประเทศไทยเรามาอย่างยาวนานแล้วแต่ว่าจะเป็นเรื่องที่คนที่อยู่ภายนอกอาจจะไม่รู้ลายละเอียดไม่รู้ถึงบรรยากาศไม่รู้ถึงความรู้สึกหรืออยากรู้แต่ก็ไม่มีโอกาสได้รู้นั้นก็คือเรื่อง นักโทษประหารในเรือนจำก่อนจะพูดถึงเรื่องนี้เรามีรูปให้ดูอยู่สองภาพซึ่งมันดูแล้วมันก็ไม่สบายใจนี้คือเป็นภาพจริงไม่ใช่ภาพจากการถ่ายทำภาพยนตร์ใดๆทั้งสิ่งเชื่อว่าทุกคนที่ได้ดูภาพนี้ก็อาจจะรู้สึกหดหู่ใจและก็สเทึอนใจซึ่งเป็นภาพก่อนทำการประหารซึ่งเป็นการนำตัวนักโทษเข้าหลักประหารและอีกหนึ่งภาพก็คือนำโทษที่ได้ประหารเสียชีวิตแล้วจากการถูกยิงเป้าและซึ่งจะเป็นเรื่องราวที่เรานั้น

จะนำเอามาพูดเล่าสู่กันฟังและเราก็จะพูดถึงเบี้ยงหลังของทั้งสองภาพนี้ซึ่งก็จะมีทั้งสองความรู้สึกและสองอารณ์ด้วยกัน อย่างหนึ่งก็อาจจะเป็นเรื่องของอุทาหรณ์ที่ดีบางครั้งเราจะทำอะไรก็ตามแต่อย่าให้ต้องเจอวินาทีสุดท้ายและต้องมาสำนึกได้ในที่สุดก่อนที่จะสำนึกได้ก็ตายไปแล้วและอย่าให้ต้องถึงวินาทีสุดท้ายอะไรแบบนี้ และ เรื่องที่สองก็คือ เรื่องของหน้าที่และการงานได้มีผู้คนจำนวนหนึ่งอยู่ในภาวะของหน้าที่การงานที่จะต้องอยู่ในบรรยากาศแบบนี้สลดหดหู่อย่างนี้

อารมณ์ความรู้สึกอย่างนี้นั่นก็คือการเป็นพี่เลี้ยงของนักโทษประหารพาเขาไปสู่แดนประหารหน้าที่ของพี่เลี้ยงก็คือจะต้องดูแลทุกขั้นตอนเลยตั้งแต่พานักโทษประหารจากแดนห้องขังและก็เดินมาเรื่อยๆหาอาหารมื้อทุกท้ายให้กินมีการพูดคุยให้ผ่อนคลายจนถึงวินาทีสุดท้ายที่ เสียงปืนนั้นดังขึ้นและก็ปิดชีวิตนักโทษคนนั้นไปและด้วยข้อมูลที่เรา

ได้ทราบกันเรื่องของการยิงเป้าเพื่อประหารชีวิตในประเทศไทยคงจะปิดฉากลงไปแล้วในเดือนตุลาคมนี้ก็คงจะใช้วธีการฉีดยาเพื่อให้เสียชีวิตไปแต่เรื่องราวของคนที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงนักโทษประหารซึ่งเคยพาคนไปยังสู่แดนประหารประมาณ30กว่าคนแล้วก็คงจะได้มีการเปิดเผยกันเป็นครั้งแรกของพี่เลี้ยงที่ดูแลนักโทษที่จะถูกประหารชีวิตและพาไปยังหลักเขตแดนประหารชีวิตเราเชื่อนะว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ไม่มีโอกาสล้วงรู้ถึงวันสุดท้ายวินาทีสุดของชีวิต

และมีโอกาสได้วางแผนเอาไว้คงอยากที่จะอยู่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาคนที่รักและก็อยากจะจากไปอย่างสงบแต่ว่าคนที่เรานั้นจะเอ่ยถึงในวันนี้ก็คือนักโทษประหารเพราะเขาไม่ได้มีโอกาสแบบนั้นเพราะว่าการจากไปอย่างสงบก็ว่ายากแล้วเพราะถูกยิงเป้า

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  BK8

ประวัติศาสตร์สงครามบนเกาะ อิโรจิมา

ประวัติศาสตร์สงครามบนเกาะ อิโรจิมา ระหว่างสหรัสอเมริกากับกองทัพญี่ปุ่น

ถึงแม้ทหารที่ตายที่ อิโรจิมา จะไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบกับสมรภูมิอื่นๆในโลกที่เกิดขึ้นแต่ที่หน้าทึ่งที่สุดก็น่าจะเป็นจำนวนของทหารญี่ปุ่นที่ได้ถูกฆ่าในตอนนั้นจาก2,200คนเหลือพียงแค่216คนเท่านั้นเองและส่วนที่เหลือนั้นก็ได้ถูกยิงตายหายกันไปหมดซึ่งทหารญี่ปุ่นนั้นก็ไม่สามารถที่จะต้านทานอเมริกาได้เลยด้วยจำนวนที่มีประมาณพลทหาร110,000คนและในส่วนของทหารอเมริกาก็เสียไปประมาณ6,821คนเท่านั้น และ ในจัดเริ่มต้นก็เริ่มเมื่อวันที่19กุมภาพันธ์ ในปี1945ทางฝ่ายอเมริกาก็ได้มีจัดหมายที่จะเข้ายึดสนามบินที่ได้ตั้งอยู่บนเกาะ อิโรจิมา

เพื่อจะให้ใช้เป็นฐานโจมตีของประเทษญี่ปุ่นคือเป็นการโจมตีแผ่นดินใหญ่แผ่นดินแม่และในการโจมตีครั้งนี้ได้เป็นการโจมตีที่ยิ่งใหญ่เป็นการโจมตีในพื้นแผ่นดินแม่ของอเมริกา ซึ่งทางด้านญี่ปุ่นนั้นก็ได้ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะป้องกันและรักษาที่เกาะอิโรจิมา เอาไว้ให้ได้นานมากที่สุดเท่าที่จะปกป้องเอาไว้ได้

ในขณะเดียวกันทางฝ่ายกองทัพของอเมริกาก้ยังได้มั่นใจว่ากองทพของอเมริกานั้นแข็งแกร่งสามารถที่จะเข้าไปถล่มโจมตีที่บนหมู่เกาะอิโรจิมาได้อย่างสบายๆซึ่งการใช้ช่วงเวลาในระยโจมตีนั้นไม่นานเพียงแค่5วันเท่านั้นโดยที่หน่วยข่าวลับของอเมริกานั้นไม่ลวงรู้อะไรเลยว่าพวกเขานั้นก็ได้มีการวางแผนกันมาก่อนหน้านี้แล้วจากนั้นทหารที่อยู่บนเกาะอิโรจิมาก็ได้มีการเตรียมพร้อมรบการต้านรับจากทหารอเมริกาเอาไว้ทุกอย่างแถมญี่ปุ่นนั้นยังได้ใช้กลยุทธ์ใหม่ที่แตกต่างไปจากการรบอื่นๆ

ที่ผ่านมาโดยที่พวกเขานั้นก็ได้สร้างอุโมงค์เขาวงกตเอาไว้ใต้ดินโดยเฉพาะการนี้เลย บนยอกเขาซูริบาชิ ภูเขาที่สูงที่สุดบนเกาะแห่งนี้มันก็เลยทำให้ทหารอเมริกาได้ต่อสู้กันอย่างยากลำบากเพรพวกเขาไม่รู้เลยว่าศัตรูนั้นจะออมาจากไหนเพราะว่ามันเนียนตาไปหมดและในบางครั้งก็ออกมายิงจากด้านหลังเฉยๆ

ซึ่งการป้องกันแบบนี้จะเรียกได้ว่ามันดีต่อการใช้ระเบิดสุดๆจากการที่ได้มีการระดมยิงปืนใหญ่นั้นก็ไมท่สามารถที่จะทำอะไรเหล่าทหารญี่ปุ่นที่อยู่บนเกาะซูริบาชิได้เลยเพราะเขาเป็นฝ่ายที่ตั้งรับและสามารถป้องกันได้ทุกอย่างและจากการระดมยิงปืนใหญ่บนเรือนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรให้กับทหารญี่ปุ่นได้เลยแถบจะทำอะไรไม่ได้สักอย่างเลยก็ว่าได้อีกทั้งยังได้สร้างความเสียหายให้กับนักรบนากวิโยธินของสหรัสเอาไว้เป็นำนวนมากนับว่าเป็นสงครามที่โหดที่สุดที่ได้มีการเกิดขึ้นในสงครามแปซิฟิก

 

ขอบคุณเรื่องราวเหล่านี้จาก  แทงบอลออนไลน์2020